บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

แต่ถึงแม้หลิวโหวผู้นี้จะไม่แยแสสนใจกับการเมืองในราชสำนัก ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทุกคนรู้กันดีก็คือ เขาเป็นคนที่รักและหวงแหนบุตรสาวมากยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น นั่นก็เป็นเพราะนางมีร่างกายอ่อนแอมาแต่กำเนิด เขาจึงตามอกตามใจนางทุกอย่าง

ส่วนหลิวฮูหยิน ‘เซี่ยจางหมิ่น’ นั้น ตระกูลเดิมของนางเป็นตระกูลคหบดีที่มั่งคั่ง นอกจากจะมีกิจการมากมายกระจายไปในเมืองต่าง ๆ แล้ว ยังเป็นหนึ่งในไม่กี่ตระกูลที่ได้รับอนุญาตให้ผูกขาดการส่งสินค้าเข้าวังหลวงอย่างต่อเนื่องยาวนานมาหลายรุ่น

เช่นเดียวกับผู้เป็นสามี นางรักใคร่เอ็นดู และคอยดูแลบุตรสาวราวกับไข่มุกในฝ่ามือ

ทั้งคู่มีบุตรชายวัยหกขวบอีกหนึ่งคน นามว่า ‘หลิวต้าผิง’ พอเกิดมาเขาก็ได้รับตำแหน่งซื่อจื่อน้อยแห่งจวนสกุลหลิว เด็กน้อยผู้นี้มีความเฉลียวฉลาดเกินอายุ ไม่ว่าเรื่องใด ขอเพียงผ่านตาสักครั้งก็สามารถเรียนรู้และจดจำได้อย่างรวดเร็ว จึงนับว่าเขาเป็นความหวังของทุกคนในตระกูล

“อย่างน้อยผู้ดูแลระบบก็ไม่ได้โกหกข้าเรื่องนี้”

“อืม...โชคดีที่ท่านพ่อของเจ้ามีบรรดาศักดิ์เป็นถึงโหว แถมบ้านเดิมของท่านแม่เจ้าก็ร่ำรวยมหาศาล มีทั้งที่ดิน กิจการร้านค้าต่าง ๆ อยู่ทั่วทั้งเมือง ที่สำคัญเขายังไม่มีอนุภรรยาหรือสาวใช้อุ่นเตียงมาให้ท่านแม่เจ้าต้องคอยปวดหัวด้วย ส่วนน้องชายเจ้า รายนั้นชอบทำตัวแก่กว่าวัย วัน ๆ เอาแต่เก็บตัวอ่านตำราอยู่ในห้องหนังสือทั้งที่เพิ่งจะอายุแค่หกขวบเท่านั้น”

หลิวฟ่านซีหลับตาลง ภาพความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมเริ่มปรากฏเข้ามาในห้วงความคิด สิ่งหนึ่งที่นางรู้สึกแปลกใจก็คือ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุบังเอิญหรือเป็นเพราะผู้คุมระบบจงใจ นางถึงได้มาอยู่ในร่างของสตรีที่มีชื่อแซ่เดียวกัน

หากขณะที่นางยังทบทวนความทรงจำในอดีตของเจ้าของร่างได้ไม่เท่าไร ทันใดนั้นเสียงประตูห้องที่ถูกแง้มเปิดก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน...

‘แอ๊ด’

จากนั้นสาวใช้ผู้หนึ่งก็ยกอ่างล้างหน้าก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวัง ความทรงจำของร่างเดิมทำให้หลิวฟ่านซีรู้ว่าสาวใช้ผู้นั้นมีนามว่า ‘ซิ่วชิง’

ทันทีที่เห็นคุณหนูของตนลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงได้ ซิ่วซิงก็ถึงกับหยุดชะงัก สีหน้ามีแววตื่นตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นยินดี

“คุณหนู...ท่านฟื้นแล้ว!”

ในชั่วเวลาเพียงอึดใจ สถานการณ์ด้านนอกก็คล้ายจะตกอยู่ในความโกลาหล เมื่อบ่าวไพร่ที่ได้ยินเสียงร้องของซิ่วซิงต่างก็ตะโกนบอกข่าวต่อ ๆ กันไป ไม่นานนักก็มีเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากพากันมุ่งตรงมายังห้องที่พวกนางอยู่

ผู้ที่เดินนำหน้าเป็นสตรีวัยกลางคน หน้าตางดงาม สวมชุดสีน้ำเงินเข้มดูสง่าภูมิฐาน บนศีรษะเกล้าผมประดับด้วยปิ่นหยกล้ำค่า ทันทีที่มาถึงก็รีบโผเข้าสวมกอดหลิวฟ่านซีโดยไม่รีรอ

“โอ...ในที่สุดฟ่านฟ่านของแม่ก็ลืมตาฟื้นขึ้นมาจนได้...ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา!”

“ทะ...ท่านแม่...?”

หลิวฟ่านซีเอ่ยเสียงแผ่ว ส่งสายตางุนงงเหลือบไปมองร่างสีขาวปุกปุย เฉินห่าวอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสังเกต พยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ เป็นการยืนยันว่าสตรีนางนี้ก็คือหลิวฮูหยินผู้เป็นมารดาเจ้าของร่างเดิม

“ท่านหมอ ท่านรีบมาตรวจดูอาการของฟ่านฟ่านเร็วเข้า!”

หลังจากคลายความตื่นเต้นยินดีแล้ว หลิวฮูหยินก็นึกขึ้นได้ รีบหันไปบอกกับท่านหมอที่นางเพิ่งสั่งให้บ่าวรับใช้ไปเชิญตัวมาอย่างเร่งรีบ พลางลุกขึ้นจากเตียงเพื่อหลีกทางให้ท่านหมอได้ตรวจร่างกายของคนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาได้โดยสะดวก

เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ในวันที่บุตรสาวของนางตัดสินใจกระโดดลงไปในสระน้ำ โชคดีที่ได้เสี่ยวเป่าส่งเสียงเห่าเรียกทุกคน มิหนำซ้ำยังพยายามกระโดดลงไปช่วยผู้เป็นนายอย่างไม่คิดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้น กว่าจะมีคนมาเห็นและช่วยขึ้นมาได้ ทั้งคนและสุนัขต่างก็พากันหมดสติไปแล้ว ไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่ฟื้น จะมีก็แต่ลมหายใจรวยรินเพียงอย่างเดียวที่ยืนยันว่าทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่

เรื่องที่เกิดขึ้นหลิวฮูหยินได้แต่กล่าวโทษ ‘นายผู้เฒ่าหลิว’ ผู้เป็นบิดาของสามีในใจ เพราะหากในอดีตเขาไม่ได้ไปตกปากรับคำกับขุนนางไป๋ผู้เป็นเพื่อนสนิท ทำการหมั้นหมายด้วยวาจา ว่าจะให้หลานสาวแต่งงานกับหลานชายของอีกฝ่ายเพื่อเชื่อมไมตรีสองตระกูล บุตรสาวของนางก็คงไม่คิดสั้นอย่างนี้

ถึงแม้ในรุ่นลูก หลิวหยวนที่เป็นเจ้ากรมอาลักษณ์และ ‘ไป๋ลู่จง’ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นเจ้ากรมพิธีการ จะไม่ค่อยสนิทสนมกันสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเป็นคำมั่นสัญญาที่คนรุ่นพ่อได้ให้ต่อกันไว้ ทั้งคู่จึงตกลงนัดหมายที่จะแลกเปลี่ยนวันเดือนปีเกิดของบุตรชายบุตรสาว เพื่อที่จะหาฤกษ์ยามในการจัดพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ

แต่ในวันที่ตระกูลไป๋ควรส่งมอบวันเดือนปีเกิดของบุตรชาย พวกเขากลับเดินทางมาเพื่อกล่าวคำขอโทษ และขอยกเลิกการหมั้นหมายแทน เนื่องจากบุตรชายของพวกเขายืนกรานปฏิเสธที่จะแต่งงานอย่างเด็ดขาด

‘ไป๋เสียนเว่ย’ บุตรชายของไป๋ลู่จงผู้นี้ นับเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาและมีความสามารถโดดเด่น สามารถสอบเป็นซิ่วไฉ ได้แต่อายุยังน้อย ทำให้ผู้คนต่างคาดหวังว่าเขาจะต้องเป็นขุนนางผู้มีอนาคตไกลในภายหน้า ทั้งยังเป็นที่หมายตาของตระกูลต่าง ๆ มากมายที่หวังจะได้เขาไปเป็นลูกเขย

แต่จู่ ๆ ไป๋เสียนเว่ยกลับบอกกับบิดาว่า เขาจะต้องผิดชอบสตรีอีกนางหนึ่งที่ตนบังเอิญได้ช่วยชีวิตเอาไว้ มิหนำซ้ำยังยืนยันหนักแน่นว่า หากเขาไม่ได้แต่งกับนางก็จะไม่ขอแต่งกับสตรีคนใดทั้งสิ้น จนถึงกับยอมให้บิดาตัดขาดจากตระกูล เมื่อเป็นเช่นนี้ลู่จงจึงไม่มีหนทางอื่นนอกจากบากหน้ามาขอโทษตระกูลหลิวด้วยตนเอง

เรื่องที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะเป็นความผิดของฝ่ายชาย แต่อย่างไรเสียหลิวฟ่านซีก็ได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่ถูกถอนหมั้น สร้างความอับอายและเสื่อมเสียเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายจึงตัดสินใจกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ซึ่งแม้แต่หลิวฮูหยินเองก็คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวที่นางเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม จะทำกล้าเรื่องเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนั้น ยิ่งบ่งบอกให้เห็นว่าบุตรสาวรู้สึกเจ็บช้ำกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากเพียงใด

หลิวฟ่านซีเห็นภาพจากความทรงจำของร่างเดิมแล้วก็ได้แต่นึกสงสาร นางเป็นเพียงหญิงสาวไร้เดียงสา ทั้งอ่อนแอและอ่อนต่อโลก การตัดสินใจทุกอย่างที่ผ่านมาล้วนแต่พึ่งพาบุพการีเป็นหลัก จะมีก็แต่ครั้งนี้ที่นางตัดสินใจด้วยตัวเอง นั่นคือการเลือกที่จะ ‘ตาย’

หลิวฟ่านซียังรู้อีกว่า การที่เจ้าของร่างเดิมต้องผิดหวังมากมายถึงขนาดนั้น นั่นก็เพราะก่อนหน้านี้นางเคยแอบเห็นคู่หมั้นของตนแต่ไกล ๆ และตกหลุมรักเขามาตั้งแต่ตอนนั้น ต่างกับไป๋เสียนเว่ยที่ไม่เคยพบหน้าคู่หมั้นมาก่อน ไม่แน่ว่าหากเขาเคยเห็นรูปโฉมของนางสักครั้ง เขาอาจไม่คิดที่จะปฏิเสธนางอย่างง่ายดายเช่นนี้

หลังจากที่ท่านหมอตรวจชีพจรของหลิวฟ่านซีเสร็จเรียบร้อย เขาก็รีบหันมารายงานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ร่างกายของคุณหนูยังอาการอ่อนเพลียอยู่บ้าง ต้องได้รับการบำรุงร่างกายอย่างเร่งด่วน ประเดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยาให้นะขอรับ”

ท่านหมอพูดพลางประสานมืออย่างนอบน้อม ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะเพื่อเขียนใบสั่งยาและมอบให้กับสาวใช้ หลิวฮูหยินได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง

เมื่อส่งท่านหมอกลับไปแล้ว ฮูหยินหลิวจึงสั่งให้บ่าวไพร่ทั้งหมดออกไปจากห้อง เหลือเพียงแค่นางกับหลิวฟ่านซีและเสี่ยวเป่าเท่านั้น

หลิวฮูหยินใช้สายตามองสำรวจบุตรสาวที่มีใบหน้าซีดเซียวอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเอ่ยว่า

“ทำไมเจ้าถึงได้ทำเรื่องที่โง่เขลาขนาดนั้น เดิมทีร่างกายของเจ้าก็อ่อนแออยู่แล้ว ยังจะกระโดดลงไปในสระน้ำกลางฤดูหนาวอีก รู้หรือไม่ว่าที่ผ่านมาแม่เป็นห่วงเจ้าจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ หากเจ้าไม่ยอมฟื้นขึ้นมาจริงๆ แม่เองอยู่ก็ไม่สู้ตาย”

หลิวฮูหยินร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ เป็นเพราะนางไม่ได้อยู่ดูแลอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิดในเวลานั้น ทำให้เกือบจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไปเสียแล้ว

หลิวฟ่านซีพอเห็นอีกฝ่ายร้องไห้ก็รีบปลอบใจ ชาติที่แล้วนางเป็นเพียงเด็กกำพร้า ไม่เคยได้รับความอบอุ่นและความห่วงใยจากผู้เป็นแม่เช่นนี้มาก่อน ทำให้รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก

“ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่โปรดวางใจ ต่อจากนี้ไปข้าจะไม่ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนั้นอีก”

หลิวฮูหยินได้ยินประโยคนี้ก็ค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมา

“ฟ่านฟ่าน! เจ้ารับปากแม่แล้วนะ ต่อไปหากมีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็ให้บอกแม่มาตรง ๆ แม่จะไม่ฝืนใจเจ้าอย่างแน่นอน”

“จริงหรือเจ้าคะ...”

“แม่พูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น” นางไม่อยากขัดใจบุตรสาวด้วยกลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายซ้ำรอยเดิม

“เช่นนั้นต่อไปในภายหน้า หากท่านแม่และท่านพ่อคิดจะมองหาสามีให้กับข้าอีก ขอให้ท่านถามความสมัครใจของข้าก่อนจะได้หรือไม่เจ้าคะ?”

หลิวฟ่านซีได้โอกาส รีบบอกสิ่งที่ต้องการออกไป ในยุคโบราณเช่นนี้สิ่งที่น่าหนักใจที่สุดสำหรับผู้หญิงก็คงไม่พ้นเรื่องแต่งงาน เพราะน้อยคนนักที่จะสามารถเลือกคู่ครองเองได้ ส่วนใหญ่แล้วสตรีย่อมมีหน้าที่ต้องแต่งงานตามคำสั่งของพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ ทั้งยังเน้นเพื่อผลประโยชน์และหน้าตาของวงศ์ตระกูลมากกว่าความรัก

“ได้สิ ได้อยู่แล้ว ต่อไปนี้แม่จะตามใจเจ้าทุกอย่าง เอาเป็นว่า...ต่อไปถ้าเจ้าอยากแต่งงานกับใคร แม่ก็จะไปทาบทามมาให้! จะไม่มีการบังคับฝืนใจเจ้าอย่างแน่นอน!”

เฉินห่าวที่นอนหมอบอยู่ใกล้ ๆ ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น

แบบนี้มันเรียกว่าตามใจลูกจนเสียคนหรือไม่?!

หลิวฟ่านซีได้ยินดังนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา ในใจได้แต่คิดว่าหลังจากนี้คงต้องหาทางออกไปตามหาตัวไอ้ลูกหมา เอ๊ย! ไอ้ลูกน้องสองตัวนั่นให้พบโดยเร็วที่สุด!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel