บทที่ 4
“เอาละ ๆ ข้าว่าเราอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย เอาไว้ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ คุยหารือกันวันหลังก็ยังไม่สาย ส่วนคืนนี้เราควรใช้เวลาของสามีภรรยาถึงจะถูก” ไป๋เสียนเว่ยรีบตัดบท ก่อนจะตรงเข้าไปสวมกอดหญิงสาวในชุดคลุมสีแดงเอาไว้แนบอกด้วยท่าทางเอาอกเอาใจ
เห็นทีเรื่องนี้คงต้องรอเวลาสักระยะ อย่างน้อยก็ควรให้นางได้ทำใจสักหน่อย หากอี้ฮวาอี๋ยังแง่งอนไม่ยอมอนุญาตเอาไว้เขาค่อยไปขอร้องให้มารดาช่วยพูดให้ก็แล้วกัน
ทันใดนั้นตะเกียงในห้องก็ถูกดับลง ในความมืดมิด อี้ฮวาอี๋รู้สึกได้ถึงอ้อมกอดของไป๋เสียนเว่ย กลิ่นสุราจากตัวเขาโชยมาแตะจมูก ท่าทางรู้จักเอาใจสตรีของเขาทำให้อารมณ์คุกรุ่นเมื่อสักครู่จางหายไป
ไม่รู้ว่าด้วยความเขินอาย หรือด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเคยผ่านการเข้าหอมาก่อน เพียงแต่ไม่ใช่เจ้าบ่าวคนเดิม...
ร่างบางถูกอุ้มมาวางบนเตียง ทั้งสองกอดกันแนบแน่น มีเพียงเสียงลมหายใจ และเสียงหัวใจที่เต้นระรัว
คืนนี้…เป็นคืนแรกของการเริ่มต้นชีวิตคู่กับเจ้าบ่าวคนใหม่ อี้ฮวาอี๋มั่นใจว่าเหตุการณ์ในอนาคตข้างหน้า จะต้องไม่เป็นเหมือนเช่นอดีตที่นางเคยได้ประสบพบเจอ
แต่ไม่ว่าอย่างไร นางจะไม่มีทางให้เขาแต่งหลิวฟ่านซีเข้ามาในจวนอย่างแน่นอน!
เมื่องานแต่งงานของอี้ฮวาอี๋ผ่านพ้นไปได้ไม่นาน อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันมงคลของกู้อวิ๋นปิงเช่นเดียวกัน งานนี้เป็นเพราะท่านหญิงเสวียนชิงเอ่ยปากบอกว่าไม่ต้องการรอจนถึงปีหน้า เนื่องจากกลัวว่าหากปล่อยเวลให้ล่วงเลยไปกว่านี้ สุขภาพที่ย่ำแย่ของตนอาจไม่ทันได้อยู่ร่วมงานแต่งงานของคนทั้งคู่
หมอที่มาตรวจอาการให้เป็นประจำต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าสุขภาพของนางทรุดหนักลงเรื่อย ๆ เห็นทีคงอยู่ไม่ถึงสิ้นปีนี้
ท่านหญิงเสวียนชิงยังคงรับบทคนป่วยได้อย่างแนบเนียน ทั้งที่อาการของนางหายเป็นปกติดีแล้ว สามารถกินอิ่มนอนหลับ หัวสมองแล่นปลอดโปร่ง ไม่มีพิษร้ายหลงเหลืออยู่ในร่างกายอีกต่อไป กระนั้นเพื่อไม่ให้คนร้ายไหวตัว นางจึงเลือกเก็บตัวที่จะอยู่แต่ในเรือนของตนที่มีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด
แม้แต่เจียนเตียนเม่ยเองก็ไม่ได้รู้สึกระแคะระคาย ทำให้นางยิ่งมั่นใจว่าท่านหญิงเสวียนชิงคงอยากจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนที่ตัวเองจะตาย
งานแต่งงานของกู้อวิ๋นปิงและหานเหอรุ่ย จึงจำเป็นต้องรีบจัดอย่างกะทันหัน อีกทั้งท่านหญิงยังให้คนสนิทช่วยนำเทียบดวงชะตาวันเกิดของทั้งสองคนไปหาฤกษ์งามยามดีในการแต่งงาน ซึ่งวันที่ถูกกำหนดเอาไว้ จัดหลังจากที่อี้ฮวาอี๋แต่งงานได้เพียงแค่ห้าวันเท่านั้น
“ท่านแม่ เหตุใดถึงได้จัดงานกระชั้นชิดเช่นนี้...แล้วงานแต่งของข้ามีเวลาเตรียมการเพียงแค่ไม่นาน จะสู้งานแต่งของอี้ฮวาอี๋ได้หรือเจ้าคะ!” กู้อวิ๋นปิงทำหน้าไม่พอใจ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนสนิทของนางก็ตาม แต่จะให้น้อยหน้ากว่างานของอี้ฮวาอี๋ นางทำใจยอมรับในเรื่องนี้ไม่ได้
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล ขณะยืนอยู่ท่ามกลางกองสินสอดที่ตระกูลหานส่งมา หีบขนาดใหญ่แต่ละหีบล้วนเต็มไปด้วยผ้าไหมและเครื่องประดับล้ำค่ามากมาย แม้ในเวลานี้นางจะทำใจได้แล้วที่ต้องแต่งงานกับหานเหอรุ่ย แต่ความรีบร้อนในการจัดงานทำให้รู้สึกไม่มั่นใจสักเท่าไหร่
ท่านแม่ของนางเดินเข้ามา จับมือบุตรสาวเอาไว้ด้วยท่าทางดีอกดีใจอย่างออกนอกหน้า “ไม่ว่างานจะเรียบง่ายหรือหรูหรา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือท่านหญิงเสวียนชิงเอ็นดูเจ้า และนางเป็นคนออกหน้าเรื่องนี้ด้วยตัวเอง นั่นย่อมทำให้ฐานะของเจ้าในจวนตระกูลหานมั่นคง”
“หากท่านหญิงชอบข้าจริงอย่างที่ท่านแม่พูด เหตุใดจึงไม่สู้ขอข้าให้บุตรชายของนางกันเล่า! หากเป็นเช่นนั้นข้าจะได้คอยดูแลปรนนิบัติทั้งท่านหญิง ทั้งท่านแม่ทัพได้อย่างเต็มที่” คนพูดยังคนทำท่าไม่สบอารมณ์ ถึงแม้จำนวนสินสอดที่ทางตระกูลหานส่งมาให้ มีจำนวนไม่น้อยไปกว่าของที่อี้ฮวาอี๋ได้รับ หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
“เจ้าอย่าพูดจาไร้สาระเช่นนี้อีก”
“ไร้สาระที่ใดกันเล่า ท่านหญิงเป็นมารดาบังเกิดเกล้า หากนางเอ่ยปากคำเดียว มีหรือท่านแม่ทัพจะกล้าปฏิเสธเรื่องนี้”
“ไม่เคยได้ยินคำกล่าวที่บอกว่า อยู่บ้านต้องเชื่อฟังบิดา พอแต่งงานไปแล้วต้องเชื่อฟังสามี หากสามีไม่อยู่แล้วก็ต้องเชื่อฟังบุตรชาย แม่คิดว่าท่านหญิงเองก็คงเป็นแบบนั้นเช่นเดียวกัน หลังจากที่แม่ทัพหานจงอู่ผู้เป็นสามีของนางเสียชีวิต ท่านหญิงก็จำเป็นต้องเชื่อฟังและเคารพการตัดสินใจของบุตรชาย”
“อ้าว...ไม่ใช่ว่าบุตรธิดาต้องเชื่อฟังบิดามารดาหรอกหรือเจ้าคะ?” กู้อวิ๋นปิงยังต่อล้อต่อเถียงไม่เลิก ถึงแม้จะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อันใดก็ตามที
“บุตรชายที่มีตำแหน่งใหญ่โตอย่างแม่ทัพหาน เจ้าคิดว่ามีใครหน้าไหนสามารถบังคับเขาให้แต่งงานได้ แม้แต่ฮ่องเต้และไทเฮายังไม่อาจยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้” กู้ฮูหยินพูดพลางโบกมือไหว ๆ ไม่อยากให้บุตรสาวคิดเรื่องเพ้อฝันที่ไม่มีทางเป็นไปได้อีกต่อไป
“ข้าก็แค่หวังว่างานแต่งของข้าจะต้องสมบูรณ์แบบและสมฐานะ และจะต้องเป็นวันที่ทุกคนจดจำและพูดถึงมากกว่างานแต่งของอี้ฮวาอี๋!” กู้อวิ๋นปิงเอ่ยด้วยท่าทางแง่งอนและเอาแต่ใจ
“งานแต่งของเจ้าต้องไม่น้อยหน้าใครอยู่แล้ว ฝ่ายนั้นแต่งเข้าแค่ระดับจวนโหว แต่ลูกสาวของแม่แต่งเข้าจวนแม่ทัพใหญ่เชียวนะ อีกอย่างงานนี้ท่านหญิงเป็นคนออกหน้าด้วยตัวเองเพราะถูกใจเจ้า ไม่เห็นหรือว่าสินสอดที่ส่งมากองเป็นภูเขา!”
“ที่ท่านแม่พูดก็มีเหตุผล” คนฟังพอได้ยินสิ่งที่มารดาพูดก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หลังจากส่งคนให้ไปสืบเรื่องที่จวนตระกูลอี้ เห็นว่าตระกูลไป๋มอบสินสอดให้แก่ฝ่ายหญิงน้อยกว่านี้ครึ่งหนึ่ง
“สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่เรื่องจัดงานใหญ่โต หรือได้รับสินสอดมากมายเป็นหน้าเป็นตาเท่านั้น แต่เจ้าจะต้องกุมหัวใจของสามีและแม่สามี รวมถึงต้องเอาอกเอาใจท่านหญิงเสวียนชิงด้วย”
“ข้ารู้แล้ว ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง” กู้อวิ๋นปิงตอบส่ง ๆ กลับไปเพื่อให้มารดาสบายใจ
ทั้งที่ในใจนางกลับมีแผนการอื่นที่เก็บงำเอาไว้ไม่บอกผู้ใด งานนี้หากนางไม่ได้ท่านแม่ทัพมาครอบครอง สตรีนางอื่นก็อย่าหวังจะได้! เอาไว้นางแต่งเข้าไปอยู่ในจวนตระกูลหานเมื่อไหร่...แล้วจะได้เห็นดีกัน
พอคิดได้เช่นนี้ กู้อวิ๋นปิงก็หัวเราะออกมา ก่อนจะหันไปตรวจดูรายการสินสอดทองหมั้นที่ทางเจียนเตียนเม่ยส่งมาให้ด้วยท่าทางสบายอารมณ์