บทที่ 3
แล้ววันมงคลของอี้ฮวาอี๋และไป๋เสียนเว่ยก็มาถึง เสียงปี่และกลองดังกึกก้องไปทั่วทั้งถนนสายหลักในเมืองหลวง ขบวนไปรับตัวเจ้าสาวพร้อมด้วยสินสอดเป็นแถวยาว บ่งบอกถึงงานมงคลอันยิ่งใหญ่
ขบวนแห่เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงดนตรีบรรเลงอย่างครึกครื้น ท่ามกลางความตื่นตาตื่นใจของเหล่าชาวบ้านสองข้างทาง ไป๋เสวียนเว่ยสวมชุดแต่งงานสีแดง นั่งอยู่บนหลังม้าสีขาวอย่างสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
ประตูจวนตระกูลอี้เปิดออกกว้าง อี้ฮวาอี๋สวมชุดสีแดงอร่าม กำลังรอคอยการมาถึงของเจ้าบ่าว เมื่อขบวนแห่มาถึง ประตูจวนก็ถูกเปิดออก ไป๋เสียนเว่ยก้าวไปรับตัวเจ้าสาว ท่ามกลางเสียงอวยพรยินดีของบรรดาญาติสนิทและเพื่อนพ้องที่คุ้นเคยมาร่วมงาน
ทว่าปราศจากเงาของตระกูลตู้กั๋วกง หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่งานชุมนุมกวีที่ตระกูลฟ่าน ก็แทบจะไม่พูดจาหรือคิดจะคบหากับตระกูลอี้อีก เป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าตู้ รู้สึกไม่ดีกับอี้ฮวาอี๋ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นนางมั่นใจว่าจะต้องเป็นฝีมือของหญิงสาวไม่ผิดแน่ ดังนั้นจึงรู้สึกโชคดีที่หลานชายของตนไม่ได้แต่งสตรีเช่นนี้เข้ามาในเรือน
เมื่อไป๋เสียนเว่ยไปรับตัวเจ้าสาวมายังจวนตระกูลไป๋เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็พาอี้ฮวาอี๋ที่สวมชุดแต่งงานสีแดงงามงามสมฐานะ ก้าวเข้าไปในเรือนด้วยท่าทางทะนุถนอม
อย่างไรเสียเขาก็ยังเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรหลิวฟ่านซีก็ไม่คู่ควรที่จะได้แต่งงานเป็นภรรยาเอก
แต่ถ้าหลังจากนี้อีกฝ่ายไม่มีผู้ใดมาสู่ขอ หากนางยอมมาคุกเข่าร้องวิงวอน บางทีเขาอาจใจอ่อน ยอมรับนางเป็นภรรยารองหรืออนุก็พอได้ เพราะเท่าที่เห็น นางมีความรู้ความสามารถเป็นที่น่าพึงพอใจ ส่วนหน้าตานั้นไม่ต้องพูดถึง ช่างงดงามจับใจอย่างยากจะลืมเลือน...
จากนั้นเจ้าบ่าวและเจ้าสาวคุกเข่าลงบนพรมแดง ทั้งคู่ยกถ้วยน้ำชาให้แก่ผู้อาวุโส ก่อนจะมีการส่งตัวเข้าหอ และร่วมดื่มเหล้าสาบานคล้องแขนกัน เป็นการสัญญาว่าจะรักและดูแลกันตลอดไป
เมื่ออยู่กันเพียงลำพังสองต่อสองภายในห้องนอน หลังจากที่ไป๋เสียนเว่ยได้เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกแล้ว เขาก็นั่งลงข้าง ๆ อี้ฮวาอี๋ แล้วกล่าวสิ่งที่เก็บงำเอาไว้ภายในใจออกมา
“ข้าช่างโชคดียิ่งนักที่ได้แต่งงานกับเจ้า”
“ท่านพี่...ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณท่าน หากไม่ใช่วันนั้นท่านยื่นมือเข้าช่วยเหลือ คงไม่มีอี๋เอ๋อร์ในวันนี้” อี้ฮวาอี๋ทำท่าเอียงอาย ถึงแม้นางจะเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ในเมื่อสามีไม่ใช่คนเดิม อะไร ๆ ก็ย่อมแตกต่างกันออกไป
“เป็นเพราะพวกเราทั้งคู่ต่างมีวาสนาร่วมกัน เพียงแต่...” ไป๋เสียนเว่ยทำท่าอ้ำอึ้ง จนทำให้ภรรยาสาวเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรอย่างนั้นหรือ ท่านพี่ไม่ต้องเกรงใจ ได้โปรดบอกข้ามาตามตรงเถิด”
“ในใจลึก ๆ แล้ว ข้ารู้สึกผิดต่อคุณหนูหลิวยิ่งนัก” ไป๋เสียนเว่ยได้ทีก็รีบกล่าวออกมาอย่างไม่ปิดบัง
คำพูดของผู้เป็นสามีที่กล่าวถึงสตรีนางอื่นในวันเข้าหอ ทำเอาคนฟังชักสีหน้าขึ้นมาทันควัน ทว่าแค่ชั่วเพียงพริบตาเดียว เจ้าสาวในชุดแดงก็ปั้นสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วคลี่ยิ้มหวานออกมาอย่างอ่อนโยน
“ข้าเข้าใจท่านพี่ดีกว่าผู้ใด ข้าเองก็รู้สึกผิดเช่นเดียวกัน ที่ผ่านมาไม่ว่าใครต่อใครต่างก็ตำหนิข้า หาว่าข้าแย่งวาสนาของนางมาเป็นของตัวเอง” อี้ฮวาอี๋พูดพลางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาทำทีเป็นซับน้ำตา ทั้งที่นางไม่ได้มีน้ำตาแม้แต่เพียงหยดเดียว
คนที่นั่งอยู่เคียงข้างพอได้ยินดังนั้น ก็รีบฉวยมืออีกฝ่ายขึ้นมาจูบเบา ๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดี เพียงแต่เรื่องนี้ยังคงติดอยู่ในใจข้า เจ้าก็รู้ว่าสตรีอ่อนแอขี้โรคเช่นนั้น ในชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้แต่งงานกับผู้ชายดี ๆ ข้าเลยคิดว่าหากเจ้าอนุญาต...” เขาทำท่าอึกอัก ไม่กล้าพูดออกมาตรง ๆ ว่าต้องการจะรับหลิวฟ่านซีมาเป็นอนุภรรยา
ไป๋เสียนเว่ยเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบเลี่ยงสายตา เพราะตั้งแต่วันงานชุมนุมกวีที่ได้เขาได้เจออดีตคู่หมั้น เขาก็ไม่อาจข่มใจให้ลืมใบหน้าที่แสนจะงดงาม และริมฝีปากจิ้มลิ้มยามที่เอ่ยเอื้อนคำกลอนออกมาได้เลย
คนคิดเข้าข้างตัวเองเผลอคลี่ยิ้มออกมา ยามคิดถึงคำกลอนบทนั้น คงเป็นการตัดพ้อต่อว่าตัวเขาไม่ผิดแน่ นี่แสดงให้เห็นว่านางยังคงมีเขาอยู่ภายในใจไม่อาจจะลืมเลือน
อีกทั้งยามได้เห็นนางแสดงความเฉลียวฉลาดออกมาต่อหน้าเหล่าคณะทูต เขาก็อดนึกชื่นชมความสามารถของอดีตคู่หมั้นผู้นี้ไม่ได้
ชั่วเสี้ยวหนึ่งของความคิด ไป๋เสียนเว่ยมีความคิดเสียดายหลิวฟ่านซีขึ้นมาในใจ เลยตัดสินใจบอกภรรยาที่เพิ่งแต่งเข้าตระกูลมาอย่างไม่ค่อยเต็มปาก เรื่องที่เขาอยากรับหลิวฟ่านซีเป็นอนุภรรยา ถึงกระนั้นก็เชื่อว่าคนใจกว้างอย่างอี้ฮวาอี๋ย่อมต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน
แต่ดูเหมือนไป๋เสียนเว่ยจะไม่รู้จักนิสัยของอี้ฮวาอี๋ดีพอ...
“ท่านพี่ถามว่า...หากข้าอนุญาตหรือเจ้าคะ?” อี้ฮวาอี๋ทวนคำอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นางคิดไม่ถึงว่าไป๋เสียนเว่ยคิดอยากจะแต่งหลิวฟ่านซีเข้าจวนด้วยอีกคน!
“ใช่แล้ว...ข้าคิดว่าสตรีที่มีจิตใจอ่อนโยนเช่นเจ้า จะต้องเข้าใจความรู้สึกของข้า อย่างไรเสียคุณหนูหลิวก็เป็นสตรีที่น่าสงสาร ส่วนบุรุษนั้นไม่ว่าอย่างไรก็จำเป็นต้องมีอนุภรรยา เพื่อช่วยขยายกิ่งก้านสาขาให้แก่วงศ์ตระกูล”
ไป๋เสียนเว่ยพูดพลางเลื่อนมือไปกุมมือเล็กที่เย็นเฉียบเอาไว้ด้วยท่าทางอ่อนโยน โดยไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของนางที่ตอนนี้ไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป
อี้ฮวาอี๋ในเวลานี้รู้สึกราวกับถูกไฟลุกไหม้เผาไปทั่วร่าง นี่เขากล้าดียังไง ถึงได้กล่าวเรื่องจะแต่งอนุในคืนวันแต่งงานโดยไม่รู้จักแยกแยะว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด!
แต่บุรุษตรงหน้ายังคงทำท่าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ตั้งใจรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ในเมื่อเขาแต่งอี้ฮวาอี๋ที่มีความเพียบพร้อมในทุกด้านมาเป็นภรรยาเอกแล้ว ส่วนภรรยารอง หรืออนุภรรยาจะเป็นผู้ใดนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร อย่างไรเสียพวกที่แต่งเข้ามาทีหลังก็ต้องให้ความเคารพต่อภรรยาคนแรกอยู่ดี
“ข้าไม่อนุญาต!” อี้ฮวาอี๋ตวาดออกมาดังลั่น ทำให้คนที่นั่งอยู่ด้านข้างสะดุ้งโหยง
“ทะ...ทำไมล่ะ ข้าก็แค่จะรับนางเป็นอนุ ไม่ได้คิดจะยกฐานะของนางมาเสมอกับเจ้าสักหน่อย พอรับเข้ามาแล้วนางก็ต้องเชื่อฟังเจ้า เจ้าสั่งอะไรนางย่อมไม่มีทางปฏิเสธได้” ไป๋เสียนเว่ยรีบชี้แจง
เขาตั้งใจจะรับหลิวฟ่านซีเป็นอนุเท่านั้น อย่างไรเสียอีกฝ่ายย่อมไม่มีทางเลือกหรือทางปฏิเสธได้อยู่แล้ว เพราะชื่อเสียงของสตรีที่ถูกถอนหมั้นย่อมไม่มีบุรุษคนใดคิดจะแต่งงานด้วย
อีกทั้งไป๋เสียนเว่ยยังมั่นใจว่าสตรีที่มีร่างกายอ่อนแอ และไม่มีทางเลือกอย่างหลิวฟ่านซี ย่อมไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอของเขาได้ ดีไม่ดีนางคงจะรีบตกปากรับคำแทบไม่ทันเสียด้วยซ้ำไป
พอคิดได้เช่นนี้ เขาก็คลี่ยิ้มมุมปากให้กับความเป็นสุภาพบุรุษของตัวเอง...
เพียงแต่หญิงสาวข้างกายกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยเครื่องประทินผิว ไม่หลงเหลือรอยยิ้มอีกต่อไป
“ท่านพี่เองก็เห็นกับตาว่าคุณหนูหลิวผู้นั้น ไม่ต่างอะไรกับนางจิ้งจอก ทั้งเจ้าเล่ห์และเต็มไปด้วยมารยา!” อี้ฮวาอี๋ชักมือกลับ ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางไม่พอใจ มีอย่างที่ไหนจะให้รับสตรีที่นางเกลียดชังแต่งเข้ามาใช้สามีร่วมกัน!
ท่าทางเกรี้ยวกราดของภรรยาทำให้บุรุษที่นั่งอยู่เคียงข้างถึงกับตกใจไปชั่วขณะ เขาไม่เคยเห็นท่าทางแข็งกร้าวเช่นนี้มาก่อน แต่พอคิดว่าตนอาจจะพูดเรื่องไม่เหมาะสมในคืนเข้าหอ ก็รีบลุกขึ้นไปง้องอนให้นางหายโมโห