บทที่ 2
“ท่านแม่ ที่ผ่านมาท่านก็รู้ว่าความฝันของข้ามักเกิดขึ้นจริงเสมอ ข้าเกรงว่าเรื่องครั้งนี้ก็เช่นกัน เพียงแต่ข้าคิดว่าสิ่งสำคัญที่ท่านตาตั้งใจมาบอก คงไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอกนะเจ้าคะ เพราะในฝันท่านตามาเตือนข้าว่า หากคิดจะให้วงศ์ตระกูลก้าวหน้า จำต้องมีผู้ยอมเสียสละในเรื่องนี้” นัยน์ตาคู่งามทอประกายแข็งกร้าวขึ้นมาชั่วขณะ
“เจ้าหมายความว่าเช่นไร” อี้ฮูหยินรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติยามได้ยินสิ่งที่บุตรสาวกล่าวออกมา
“ในความฝัน ข้าเห็นท่านตายอมสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องฮ่องเต้เจ้าค่ะ จากนั้นตระกูลของเราก็จะได้รับพระราชทานรางวัลในฐานะตระกูลผู้จงรักภักดี ส่วนท่านพ่อเองก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้าย ทันทีที่ตำแหน่งว่างลง”
“เจ้ากำลังจะบอกว่า ท่านตาอยากให้มีคนยอมเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องฮ่องเต้จากมือสังหารใช่ไหม ?” อี้ฮูหยินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แค่เรื่องความฝันที่เป็นเรื่องราวคอขาดบาดตายเช่นนี้ นางยังตกใจไม่หาย แต่พอได้ยินว่าจะต้องหาคนเสียสละชีวิตเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของวงศ์ตระกูล ถึงกับนิ่งงันไปชั่วขณะ
“เรื่องนี้ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าคิดว่ามีคนที่เหมาะสมสำหรับทำเรื่องนี้แล้วเจ้าค่ะ” อี้ฮวาอี๋คลี่ยิ้มออกมา พลางกุมมือมารดาเอาไว้อย่างแผ่วเบา
“ใครกัน ?”
“บุตรชายของอนุสาม อี้ซานไฉยังไงล่ะเจ้าคะ ที่ผ่านมาน้องสี่มีความเก่งกล้าและเฉลียวฉลาด หากเขาได้รับโอกาสให้แสดงความสามารถและเสียสละตนเองเพื่อการนี้ ย่อมเป็นผลดีต่อวงศ์ตระกูลไม่ใช่หรือ ?”
ดวงตาของอี้ฮูหยินฉายแววลุกโชนขึ้นมา นึกถึงใบหน้าของอนุสามที่ไม่ต่างอะไรกับนางอสรพิษร้าย ที่จงใจใช้มารยาและความสวย ความสาวของตัวเอง พยายามทำให้สามีหลงใหล
ส่วนอี้ซานไฉบุตรชายของนาง ตั้งแต่เกิดมาก็ได้รับการประคบประหงมดูแล ไม่ต่างอะไรกับบุตรชายคนโตที่เกิดจากฮูหยินใหญ่อย่างนาง ซ้ำยังเป็นที่ชื่นชอบของบิดา เพราะนอกจากบุตรชายคนที่สี่ที่เกิดจากอนุสามผู้นี้ จะเรียนหนังสือเก่งและมีพื้นฐานการต่อสู้ที่ค่อนข้างดีแล้ว ยังรู้จักประจบประแจงเอาใจผู้หลักผู้ใหญ่ ทำให้อี้หย่งจินตามใจเขา อย่างที่ไม่เคยใจดีกับบุตรชายหรือบุตรสาวคนใดมากถึงเพียงนี้มาก่อน
“อืม...”
“ถ้าท่านแม่ไม่ว่าอะไร ก็สั่งให้คนชวนน้องสี่ไปร่วมงานล่าสัตว์ของราชวงศ์ในครั้งนี้ด้วยกันเถิด ข้าคิดว่าท่านพ่อเองก็คงจะต้องชื่นชมท่านแม่ที่ใจกว้างเป็นแน่”
งานนี้อี้ฮวาอี๋วางแผนมาอย่างรอบคอบ ตั้งใจจะยิงเกาทัณฑ์ทีเดียวได้นกหลายตัว
อย่างแรกคือยืมมือมือสังหาร กำจัดอี้ซานไฉที่เป็นตัวเกะกะน่ารำคาญของนางและผู้เป็นมารดา ในเมื่อที่ผ่านมาอนุสามนั้นมีความหยิ่งผยอง เพราะคิดว่าตนเป็นที่รักและมีสามีคอยให้ท้าย และมีบุตรชายที่ฉลาดโดดเด่นกว่าบุตรชายคนอื่น ๆ เลยทำตัวไม่ค่อยเห็นหัวใครสักเท่าไหร่
ส่วนเรื่องที่สองคือการได้รับผลประโยชน์จากการเสียสละชีวิตของอี้ซานไฉ ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ฮ่องเต้ย่อมต้องเห็นคุณงามความดีของตระกูลอี้ที่ยอมเสียสละชีวิต ดังนั้นหากในอนาคตมีเหตุทำให้ตระกูลอี้ต้องถูกประหารทั้งตระกูล ฮ่องเต้ย่อมต้องนึกถึงความดีความชอบในครั้งนี้ และต้องยอมลดโทษผ่อนหนักให้เป็นเบา
ส่วนเรื่องสุดท้าย...นางคิดว่าอย่างไรก็ตาม จะต้องกำจัดหลิวฟ่านซีไปให้พ้นทาง ไม่อย่างนั้นนางคงไม่อาจไว้วางใจในเส้นทางอนาคตของตัวเองได้ ดังนั้นจึงตั้งใจจะใช้โอกาสที่มีมือสังหารลอบเข้ามาปลงพระชนม์ฮ่องเต้ ส่งคนของตนเองปะปนเข้าไปเพื่อกับจัดหลิวฟ่านซีไปพร้อม ๆ กัน
“เรื่องของอี้ซานไฉเอาไว้แม่จะเป็นธุระจัดการให้เอง เพียงแต่เขาจะยอมทำอย่างที่เจ้าพูดเช่นนั้นหรือ เขาไม่ใช่คนโง่ แม่เกรงว่าอาจไม่เป็นอย่างที่เจ้าคิด” สีหน้าของนางดูลังเล เรื่องชวนไปงานล่าสัตว์ไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งสำคัญคือจะต้องทำเช่นไรให้เขายอมเสียสละตัวเองเพื่อช่วยปกป้องฮ่องเต้ให้พ้นภัยต่างหาก
“เรื่องนี้ไม่ยาก หลังจากที่ได้พูดคุยกับน้องสี่แล้ว ท่านแม่ก็แค่หาทางให้เขาได้ติดตามไปกับขบวนล่าสัตว์พร้อมกับเหล่าขุนนาง แค่กำชับไปว่าหากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ก็ให้เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อปกป้องฮ่องเต้ด้วยชีวิต ข้ามั่นใจว่าคนที่อยากแสดงฝีมือให้เป็นที่ยอมรับอย่างน้องสี่ จะต้องไม่ลังเลที่จะสร้างความดีความชอบให้แก่ตนเองอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ที่เจ้าว่ามาก็มีเหตุผล” อี้ฮูหยินได้ฟังก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างหมายมาด
“เพียงแต่ยังมีอีกเรื่อง ที่ข้าอยากรบกวนขอยืมคนของท่านแม่สักหน่อย” คนมีแผนการโน้มตัวเข้ามาใกล้ผู้เป็นมารดา ก่อนจะกระซิบบอกถึงเรื่องที่ต้องการข้าง ๆ หู
ถึงแม้จะจำได้ว่าในชาติก่อน หลิวฟ่านซีไม่ได้ไปร่วมงานล่าสัตว์ของราชวงศ์ด้วย เนื่องจากมีร่างกายอ่อนแอ ในวันงานหลิวฟ่านซีล้มหมอนนอนเสื่อลุกไม่ขึ้น
แต่ในชาตินี้ดูเหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนไปแล้ว นางมั่นใจว่าหลิวฟ่านซีจะต้องไปร่วมงานในครั้งนี้อย่างแน่นอน...
“ต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?” อี้ฮูหยินถึงกับทำตาโตยามได้ยินเรื่องที่บุตรสาวร้องขอ แม้จะรู้ดีว่าบุตรสาวผู้นี้ของนางเป็นคนทำอะไรมีแผนการ แต่บางครั้งกลับตัดสินใจวู่วาม ยามโมโหก็แทบจะลืมทุกสิ่ง
เรื่องที่นางกระซิบบอกเมื่อสักครู่นี้ก็เช่นเดียวกัน อี้ฮูหยินแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าความคิดร้ายกาจเช่นนี้ จะเป็นความคิดของบุตรสาวแท้ ๆ เพราะมันทั้งโหดเหี้ยม ทั้งอำมหิต ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าคนทั้งเป็น
“หากหลิวฟ่านซียังอยู่ อนาคตของข้าคงไม่มีทางราบรื่นได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ ท่านแม่โปรดเชื่อข้าเถิด หากข้าคิดจะลงมือทำอะไรแล้ว ย่อมต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน!” อี้ฮวาอี๋จ้องประสานตากับอีกฝ่าย
เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะต้องทำให้สำเร็จจนได้ ไม่อย่างนั้นเห็นทีนางคงไม่มีทางวางใจในอนาคตของตน
“แต่ถ้าเกิดถูกจับได้ขึ้นมา...”
คนฟังครุ่นคิดตามถึงเรื่องที่บุตรสาวตั้งใจให้ว่าจ้างคนสวมรอยไปกับพวกกลุ่มนักฆ่า แล้วใช้โอกาสนี้ฉุดคร่าหลิวฟ่านซีเข้าไปในป่าเพื่อทำมิดีมิร้าย โดยหมายจะให้นางถูกชายฉกรรจ์นับสิบคนรุมย่ำยีจนชื่อเสียงเสียงหาย
คราวก่อนที่จวนตระกูลฟ่านก็ทีนึงแล้ว โชคดีที่ไม่ถูกจับได้เพราะไม่มีหลักฐานสาวมาถึงตัว ไม่อย่างนั้นมีหรือจะรอดพ้นจากความผิดไปได้ แต่นี่นางกลับยังไม่เข็ดหลาบ คิดจะทำผิดซ้ำสอง ยิ่งคิดอี้ฮูหยินก็ได้แต่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกในเรื่องนี้
“ข้าถึงต้องไหว้วานให้ท่านแม่ช่วยเหลืออย่างไรล่ะเจ้าค่ะ หากเป็นคนของท่านแม่ ข้าถึงจะวางใจได้”
นางรู้ว่ามารดานั้นมีเส้นสายอยู่มากมาย ดังนั้นการจะหาคนมีฝีมือดีกลุ่มหนึ่ง ลักลอบปะปนเข้าไปในงานล่าสัตว์ ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไร ที่สำคัญนางตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ ทำลายชื่อเสียงของหลิวฟ่านซีให้ย่อยยับป่นปี้จนไม่มีหน้าพบผู้ใด ถ้าโชคดีอีกฝ่ายอาจถึงขั้นฆ่าตัวตาย เพื่อหลบหนีความอับอายไปด้วยตนเอง
หลังจากที่แผนการรอบก่อนเกิดความผิดพลาด ทำให้ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจเอาไว้ งานนี้อี้ฮวาอี๋ได้แต่นึกโทษความไม่เอาไหนของกู้อวิ๋นปิงและเจียงซู่เซียวที่ทำให้เสียเรื่อง
หากไม่ใช่สาวใช้ที่กู้อวิ๋นปิงทำเรื่องโง่เขลาจนถูกจับได้ ส่วนกำยานที่เจียงซู่เซียวก็ไม่เห็นจะใช้การกับหลิวฟ่านซีได้ผล ไม่อย่างนั้นมีหรือที่แผนการที่วางเอาไว้อย่างดี จะล้มเหลวไม่เป็นท่าเช่นนี้
ยิ่งคิดอี้ฮวาอี๋ก็ยิ่งนึกโมโห...เพราะอย่างนี้นางจึงจะต้องเป็นคนลงมือ และวางแผนจัดการเรื่องทุกอย่างให้สำเร็จด้วยตัวเอง!