บทที่ 1
ทางด้านอี้ฮวาอี๋ หลังได้ยินเรื่องราวจากปากของคนรับใช้ ถึงวีรกรรมของหลิวฟ่านซีและสุนัขของนาง ในงานแสดงแสนยานุภาพของกองทัพ ก็ถึงกับนั่งไม่ติด...
นางไม่คิดมาก่อนเลยว่าคนอย่างหลิวฟ่านซีจะมีความสามารถในเรื่องการคิดคำนวณ ทั้งที่ไม่เคยเข้าเรียนในสถานศึกษาใดมาก่อน หรือเป็นเพราะหลิวหยวนผู้เป็นบิดาของนาง จะอบรมสั่งสอนบุตรสาวด้วยตัวเอง ? แต่สตรีขี้โรคอย่างนางจะรู้ได้เช่นไรว่าสุนัขที่ทางซีเปียมอบให้แก่แคว้นเยี่ยน จะมีความสามารถในการคิดคำนวณได้ ?
นอกเสียจากหานซิงเยว่จะเป็นคนบอกในเรื่องนี้...
แต่คนอย่างหานซิงเยว่ จะยอมให้สตรีตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีความสำคัญ เข้าไปยุ่มย่ามในเรื่องของกองทัพงั้นหรือ ? หรือจะบอกว่าเป็นเพราะหลิวฟ่านซี มีสุนัขที่เฉลียวฉลาด เขาเลยไปขอคำปรึกษาในเรื่องที่ฝึกให้สุนัขคิดคำนวณได้ ?
อี้ฮวาอี๋หน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจยอมรับในเรื่องนี้ บางทีนี่อาจเป็นแผนการเพื่อตบตาพวกแคว้นซีเปีย ในเมื่อพวกคนในราชสำนักของแคว้นเยี่ยนเองก็เจ้าเล่ห์แสนกล การแต่งเรื่องมาหลอกลวงผู้คนให้หลงเชื่อแค่นี้ ใช่ว่าจะทำไม่ได้
แต่ยิ่งคิดเท่าไหร่คนที่ล่วงรู้อนาคตอย่างนางก็ยิ่งคิดไม่ตก...
ในชาติก่อนอี้ฮวาอี๋จำได้ว่าไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น อีกทั้งยังคิดไม่ถึงเรื่องที่หลิวฟ่านซีกับหานซิงเยว่ จะมีโอกาสได้โคจรมาพบกัน นี่แปลว่าเป็นเพราะนางพยายามเปลี่ยนอนาคต เหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา เลยมีการเปลี่ยนแปลงต่อคนอื่นด้วยเช่นนั้นหรือ ?
หลิวฟ่านซีกลายเป็นที่ชื่นชมของบรรดาเหล่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง แม้แต่อี้เฟยพี่สาวคนโตของอี้ฮวาอี๋ ยังส่งคนมากำชับเตือนนางให้อยู่ห่าง ๆ หากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับหลิวฟ่านซีให้เกิดคำครหา
ในเวลานี้อี้ฮวาอี๋ยิ่งรู้สึกเดือดดาลที่เห็นหลิวฟ่านซีได้หน้า เห็นทีหากนางไม่ลงมือทำอะไรลงไปให้เด็ดขาด สถานการณ์ในวันข้างหน้าอาจมีการเปลี่ยนแปลงพลิกผัน
ดังนั้นนางควรจัดการเตรียมความพร้อมรับมือเหตุการณ์ครั้งสำคัญ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในงานล่าสัตว์ของราชวงศ์ที่ภูเขาซงซาน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต คนที่ย้อนอดีตมาอย่างอี้ฮวาอี๋ยังจำภาพได้ติดตา หลังจากที่นางแต่งงานกับตู้เสิ่นหลิงได้เพียงไม่นาน ก็ต้องเข้าร่วมงานล่าสัตว์ที่ทางราชวงศ์จัดขึ้น งานนี้ถึงแม้จะมีการตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยอย่างแน่นหนา แต่เพราะมีคณะทูตจากต่างแดนเข้าร่วมการล่าสัตว์ด้วย จึงทำให้มีมือสังหารลอบปะปนเข้ามาฉวยโอกาสลอบปลงพระชนม์
ในตอนนั้นมือสังหารหมายอาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานอยู่ในเทศกาลล่าสัตว์ ลอบสังหารฮ่องเต้ต้าเฉวียน แต่ด้วยความจงรักภักดีของตู้เสิ่นหลิง เขาตัดสินใจเอาตัวเองปกป้องฮ่องเต้ให้รอดพ้นจากการถูกอาวุธลับที่อาบยาพิษร้ายแรงเอาไว้ เป็นผลให้ตู้เสิ่นหลิงเสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ส่วนอี้ฮวาอี๋ต้องกลายเป็นหญิงหม้ายสามีตาย ชีวิตกลับกลายเป็นพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ด้วยความดีความชอบของตู้เสิ่นหลิงที่เสียสละชีวิตปกป้องฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้ต้าเฉวียนซาบซึ้งในบุญคุณ จึงปูมบำเหน็จให้แก่สกุลตู้มากมาย รวมถึงแต่งตั้งให้อี้หย่งจิน บิดาของนางรับตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้าย หลังจากที่เสนาบดีคนเก่าหมดวาระ เพื่อเป็นการชดเชยให้แก่ครอบครัวของทั้งสองตระกูล
ตรงจุดนี้อี้ฮวาอี๋ครุ่นคิดอยู่หลายต่อหลายครั้ง หลังจากที่ได้รับโอกาสให้ย้อนเวลากลับมา นางได้เปลี่ยนแปลงอดีต เลือกที่จะไม่แต่งงานกับตู้เสิ่นหลิง ด้วยการขโมยงานแต่งของหลิวฟ่านซีมาเป็นของตน
ทว่าหากเหตุการณ์อื่น ๆ ยังคงดำเนินต่อไปเหมือนเช่นเดิม แล้วถ้าเกิดในวันงานล่าสัตว์ ตู้เสิ่นหลิงยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องฮ่องเต้จากมือสังหาร แต่ในเวลานี้นางไม่ใช่ภรรยาของเขา เรื่องการปูมบำเหน็จและการชดเชย ย่อมตกไปถึงแค่เพียงตระกูลตู้เท่านั้น
ส่วนบิดาของนางย่อมไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย ไม่ได้รับประโยชน์จากการตายของตู้เสิ่นหลิง เนื่องจากไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน...
พอคิดได้เช่นนี้ อี้ฮวาอี๋จึงตัดสินใจวางแผนเสียใหม่ ในเมื่อนางรู้ดีอยู่แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารขึ้นตอนไหน ก็แค่หาคนในตระกูลอี้ ทำหน้าที่เสียสละชีวิต ปกป้องฮ่องเต้แทนตู้เสิ่นหลิงเสียก็สิ้นเรื่อง
นางคิดทบทวนอยู่หลายรอบว่าจะให้ใครเป็นผู้เสียสละเพื่อจะได้ผลประโยชน์สูงสุด
ในที่สุดคนเจ้าแผนการก็คลี่ยิ้มมุมปากออกมา ก่อนจะรีบเดินออกจากห้อง เดินตรงไปยังเรือนของมารดาในทันที
เมื่อมาถึงเรือนใหญ่ อี้ฮวาอี๋ก็รีบเข้าไปหามารดาบังเกิดเกล้าโดยไม่รอช้า งานนี้นางคิดเอาไว้แล้วว่าการจะทำให้มารดาเชื่อถือนั้น จำเป็นต้องหยิบยกเรื่องความฝันมาบังหน้า เหมือนเช่นทุกครั้งที่เคยใช้วิธีนี้แล้วได้ผล
“คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”
เจ้าของร่างบางย่อกายเล็กน้อย ใบหน้าแสดงความไม่สบายใจออกมาได้อย่างแนบเนียน ทำให้ผู้เป็นมารดาสามารถสังเกตเห็นได้ในทันทีที่บุตรสาวก้าวเท้าเข้ามาในห้อง
“อีกไม่กี่วันจะถึงวันแต่งงานของเจ้าแล้ว เหตุใดถึงมีสีหน้าไม่ดีเช่นนี้เล่า” อี้ฮูหยินมองสีหน้าที่ดูเป็นกังวลของอี้ฮวาอี๋ด้วยความแปลกใจ ก่อนจะดึงตัวบุตรสาวให้นั่งลงข้าง ๆ เพื่อดูว่าไม่สบายตรงไหนหรือไม่
“เมื่อคืนนี้ข้าฝันร้ายเจ้าค่ะ”
“ฝันร้ายอีกแล้วอย่างนั้นหรือ ?” อี้ฮูหยินได้ยินก็มีสีหน้าตกใจ
ความจริงพักหลังมานี้ นางรู้สึกว่าบุตรสาวของตนมีบางอย่างที่ดูเปลี่ยนไป บางครั้งก็ทำตัวคล้ายกับสตรีที่มีอายุ ท่าทางไม่เหมือนแม่นางน้อยวัยแรกแย้มที่ควรเป็น
แต่เรื่องที่น่าตกใจก็คือเรื่องความฝัน ทุกครั้งที่อี้ฮวาอี๋เล่าความฝันถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้นางฟัง ไม่มีเลยสักครั้งที่จะไม่เกิดขึ้นจริง อาจมีเหตุการณ์คลาดเคลื่อนไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ล้วนตรงตามที่อี้ฮวาอี๋พูดทุกประการ
ดังนั้นอี้ฮูหยินจึงเชื่อว่าบุตรสาวจะต้องมีสัมผัสพิเศษ ที่สามารถรับรู้เรื่องราวล่วงหน้าผ่านทางความฝัน
“เจ้าค่ะ คราวนี้ข้าฝันเห็นท่านตา” อี้ฮวาอี๋ทำท่าอ้ำอึ้ง คล้ายกับจะพูดแต่กลับไม่พูดออกมา
นางจงใจยกเรื่องของผู้เป็นตามาอ้าง เนื่องจากในอดีตท่านตาของนางมีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าเมือง ทั้งยังเป็นที่เคารพยกย่องของผู้คน ส่วนมารดาของนาง หากเป็นเรื่องของท่านตาแล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็จะเชื่ออย่างสนิทใจโดยไม่มีข้อสงสัย
อี้ฮูหยินได้ยินเช่นนั้นก็รีบหันหน้าไปทางเหล่าสาวใช้ โบกมือสั่งให้ออกไปจากห้องในทันที
ครั้นพอเห็นว่าอยู่เพียงลำพังสองแม่ลูกแล้ว จึงได้รีบถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“เจ้าฝันถึงท่านตาอย่างนั้นหรือ ? ในฝันท่านตาพูดอะไรกับเจ้าบ้าง” อี้ฮูหยินเอ่ยทวนคำด้วยความประหลาดใจระคนตกใจ
“ท่านตามาเตือนข้าเจ้าค่ะ...ข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดให้ท่านแม่ฟังดีหรือไม่” คนมากด้วยแผนการทำท่าอ้ำอึ้งได้อย่างสมบทบาท
อี้ฮูหยินได้ยินก็ทำตาโต พลางยื่นมือไปกุมมือของคนตรงหน้าเอาไว้ “เจ้ารีบพูดมาเถอะ หากเป็นเรื่องร้ายแรง พวกเราจะได้หาทางป้องกันได้ทัน”
คนฟังเชื่อสนิทใจว่าบุตรสาวพูดไม่ได้โกหก ในเมื่อหลายครั้งเรื่องที่นางเอ่ยเตือน ทำให้สถานการณ์ที่ดูเหมือนจะย่ำแย่คลี่คลายไปในทางที่ดี
อี้ฮวาอี๋ทำท่าลังเลพอเป็นพิธีอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบ ราวกับกลัวว่าจะมีใครมาได้ยิน เรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรง นางจึงไม่กล้าลงมือทำอะไรบุ่มบ่าม นอกจากมาปรึกษาหารือกับมารดาเสียก่อน
“ท่านตาบอกว่า ในวันงานเทศกาลล่าสัตว์ของราชวงศ์ที่ภูเขาซงซาน จะมีมือสังหารลอบมาปลงพระชนม์ฮ่องเต้เจ้าค่ะ”
“หา! ว่าอย่างไรนะ ?!”
อี้ฮูหยินถึงกับหน้าซีดเผือด ยกมือขึ้นทาบอก สายตาจับจ้องไปยังคนพูดด้วยความตกตะลึง
“ในฝันข้าเห็นภาพมือสังหารหลายคน ลอบปะปนมากับเหล่าคณะทูตจากต่างแคว้น คนร้ายปรากฏตัวขึ้นในยามบ่ายคล้อยช่วงที่ฮ่องเต้กำลังกลับออกมาจากการไปล่าสัตว์ในป่า มือสังหารฉวยโอกาสที่องครักษ์กำลังชุลมุน ปาอาวุธลับอาบยาพิษใส่ฝ่าบาทเจ้าค่ะ”
“จะ...จะเป็นไปได้ยังไง ฮ่องเต้ทรงมีองครักษ์คอยอารักขามากมาย คนพวกนั้นจะปล่อยให้มีมือสังหารลอบเข้ามาได้ง่าย ๆ เชียวหรือ ?”