บทที่ 5
“นั่นสิ ๆ ทุกคนเป็นทหารกล้ามีฝีมือยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์ใดก็ย่อมต้องรับมือได้ แต่ข้าล่ะ...เรื่องนี้มีอะไรให้ข้าต้องใช้ความสามารถมั่ง...ไม่มี!!”
“ท่านโค่ยตงซื่อไม่ต้องเป็นกังวล อย่างไรเสียท่านแม่ทัพคงไม่ยอมปล่อยให้ท่านได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” หลิวฟ่านซีกล่าวปลอบ หากเป็นไปได้นางเองยังอยากลงไปร่วมฝึกซ้อมกับทุกคนเสียด้วยซ้ำ
“เหอะ ๆ ลูกธนูไม่มีตา ถ้าพลาดขึ้นมาจะทำเช่นไร!” โค่ยตงซื่อบ่นอุบ อยู่ดีไม่ว่าดี ทำไมตนถึงได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกไปเสียได้ ปกติเขาคอยวางแผนอันแยบยลอยู่แนวหลัง ไม่เคยมีสักครั้งที่จะปล่อยให้ศัตรูพลิกสถานการณ์มาเป็นต่อได้
พอมาคิดดูแล้ว...ตนไม่น่าหาเรื่องมาดูการฝึกครั้งนี้เลยจริง ๆ
“ทำตามที่นางบอก”
หานซิงเยว่ออกคำสั่งเสียงดัง ทำให้ทั้งหมดต้องเงียบเสียงลงในทันที
สุดท้ายแล้วทหารทุกคนต่างก็เชื่อมั่นในฝีมือของผู้เป็นนาย เพราะสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้ก็เคยผ่านมาแล้ว...
เพียงแต่ไม่คิดว่าการฝึกของคุณหนูหลิว...จะหนักหน่วง และเป็นการท้าทายความสามารถ
“จิ่งสงเตรียมเสื้อเกราะอ่อนให้ท่านแม่ทัพกับท่านกุนซือด้วย เผื่อมีอะไรผิดพลาดจะได้ไม่ได้รับบาดเจ็บ” หลิวฟ่านซีกล่าว ก่อนจะหันไปช่วยนับคนที่จะเข้าร่วมการฝึกซ้อมในครั้งนี้
“ขอรับ”
ไม่นานนักจิ่งสงก็ตระเตรียมทุกอย่างเสร็จสรรพตามคำสั่ง เหล่าองครักษ์เงาที่นาน ๆ ครั้งถึงจะมีโอกาสได้โผล่หน้ามาออกจากที่ซ่อนให้คนได้เจอตัว ก็รู้สึกฮึกเหิมไม่แพ้พวกทหารอารักขาคนอื่น ๆ
ถึงกระนั้นพวกองครักษ์เงา ยังคงโพกผ้าสีดำเพื่อปิงบังใบหน้าเอาไว้อย่างมิดชิด พวกเขาทั้งหมดต่างรู้สึกดีใจที่จะได้ยืดเส้นยืดสาย อวดฝีไม้ลายมือให้ท่านแม่ทัพได้เห็น ถึงแม้จะได้ร่วมฝึกซ้อมกับท่านแม่ทัพอยู่บ่อยครั้ง แต่ใช่ว่าจะมีโอกาสได้ประลองฝีมือกับท่านแม่ทัพแบบจริงจังเช่นนี้เสียเมื่อไหร่
แถมการประลองในครั้งนี้ จะเรียกว่าเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีก็ว่าได้ พวกเขาจะแสดงฝีมือให้คุณหนูหลิวผู้นี้ได้เห็นกับตาว่า การเป็นองครักษ์ที่รับหน้าที่ปกป้องอารักขาท่านแม่ทัพ ย่อมต้องมีความสามารถ และเก่งกาจกว่าเจ้าสุนัขขนปุยพวกนี้เป็นไหน ๆ
เมื่อเห็นทุกคนมารวมตัวกันพร้อมแล้ว หลิวฟ่านซีก็กล่าวกติกาการฝึกออกมาอย่างเสียงดังฟังชัด...
“กติกาก็คือ ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป ฝั่งที่เป็นฝ่ายบุกทุกคน จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางเข้าไปให้ถึงตัวท่านกุนซือให้ได้ และเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ ดาบที่ใช้จะเป็นดาบไร้คม ส่วนธนูให้ใช้ลูกศรหัวทู่ที่ใช้สำหรับในการฝึกซ้อม!”
“ขอรับ!” ฝ่ายบุกรับคำอย่างหนักแน่น และเข้าประจำที่อย่างพร้อมเพรียง
“ส่วนฝ่ายตั้งรับ ทำได้เพียงแค่ป้องกันไม่ให้ใครเข้าถึงตัวท่านกุนซือได้”
หลังจากหลิวฟ่านซีพูดจบ เสียงของเหล่าทหารองครักษ์ก็ส่งเสียงเฮ เพื่อเรียกความฮึกเหิม หานซิงเยว่เองก็ไม่ได้ว่าอะไร ยิ่งเห็นเหล่าลูกน้องมีท่าทีกระตือรือร้น เขาเองก็พลอยนึกครึ้มอกครึ้มใจไปด้วย อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ต่างอะไรกับการฝึกซ้อมตามปกติเพียงแต่ครั้งนี้มีโค่ยตรงซื่อมาร่วมด้วย
ซิ่วชิงนำเสื้อเกราะอ่อนที่รับมาจากจิ่งส่ง ไปสวมให้กับโค่ยตงซื่อ ส่วนหลิวฟ่านซีนำไปส่วนให้กับหานซิงเยว่ ระหว่างนั้นนางถือโอกาสพูดคุยกับต้าฮุยและต้าเฮยด้วยท่าทางสบาย ๆ
“พวกเจ้าทั้งสองต้องเคลื่อนไหวตามท่านแม่ทัพให้ดี ที่สำคัญจะต้องคอยระวังไม่ให้พลธนูยิงถูกท่านแม่ทัพและท่านกุนซือได้”
“โฮ่ง!” ต้าฮุยและต้าเฮยส่งเสียงเห่าขึ้นมาพร้อมกันด้วยท่าทางตั้งใจ
ทำเอาคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างพากันสงสัยว่า...หรือบางทีเจ้าสุนัขทั้งสองตัวนี้ จะฟังภาษาคนเข้าใจจริง ๆ
“ส่วนท่านแม่ทัพ...”
หลิวฟ่านซีพูดพลางช่วยสวมเสื้อเกราะอ่อนให้เขา
“หืม?”
“ท่านก็แค่เคลื่อนไหวไปตามปกติ ไม่ต้องสนใจต้าฮุยและต้าเฮยเจ้าค่ะ ทั้งสองตัวจะเคลื่อนที่ไปตามการเคลื่อนไหวของท่านแม่ทัพอย่างที่ได้ฝึกซ้อมกันก่อนหน้านี้” นางพูดพร้อมกับลองกระตุกเสื้อเกราะเบา ๆ เพื่อดูว่าแน่นพอหรือยัง
หานซิงเยว่ที่ยืนอยู่กับที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายของอีกฝ่าย เผลอจ้องมองใบหน้านวล และริมฝีปากจิ้มลิ้มที่กำลังพูดจาฉะฉาน เขาไม่รู้ทำไมสิ่งที่นางกำลังทำอยู่ ถึงทำให้รู้สึกคันยุบยิบในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
ภาพระหว่างท่านแม่ทัพกับคุณหนูหลิว ไม่ต่างอะไรกับภาพวาดจากปลายพู่กันของจิตรกรเอก หนึ่งบุรุษผู้สง่างามองอาจ และหนึ่งสตรีที่มีความอ่อนช้อยงดงาม เป็นภาพแสนหวานทำให้ผู้จ้องรู้สึกวาบหวามในหัวใจ
หลิวฟ่านซีเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนถูกจ้องมองโดยบุรุษตรงหน้า เลยเพิ่งนึกได้ว่าตนถือวิสาสะช่วยจัดการสวมชุดเกราะให้เขาอย่างถือวิสาสะ
พอนึกขึ้นมาได้ ใบหน้าก็แดงระเรื่อ นางรีบหดมือกลับแล้วเดินหันหลังจากไปในทันที มุมปากของหานซิงเยว่ยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีเขินอายของหญิงสาว