ตอนที่ 3 สะเทือนใจ
เมื่อหยางลี่จูถูกแม่สามีออกปากเช่นนี้ นางจะไม่หน้าชาและหน้าถอดสีได้อย่างไรกัน ใบหน้าแสนน่ารักซ่อนความเสียใจเอาไว้ ฝ่ามือนุ่มยกขึ้นมาทาบอก นั่นเพราะเจ็บแปลบยิ่งนัก เมื่อนางเดินออกมาได้หลายก้าว ญาติผู้น้องก็วิ่งออกมา พลางประคองนางเอาไว้
“พี่สาว เป็นอะไร เจ็บหน้าอกหรือเจ้าคะ” ว่านซูเจียวแสร้งถามไถ่ ภายในใจนางแช่งชักหักกระดูกอีกฝ่ายไปเสียหลายคำ มิหนำซ้ำยังชำเลืองมองสตรีคนนี้ด้วยความไม่พอใจ คับอกแค้นใจแทนมารดาของนางนัก
หากมารดาของหยางลี่จูไม่แต่งงานกับขุนนางหยาง ชีวิตของนางป่านนี้ก็สุขสบายไม่รันทดจนต้องมาแต่งงานเป็นอนุอันไร้เกียรติของแม่ทัพหยวน อีกหน่อยรอให้นางเขี่ยหยางลี่จูออกไปได้ อนาคตของนางย่อมอยู่เพียงแค่เอื้อมเท่านั้น
นางซ่อนความร้ายเอาไว้บนใบหน้าอันใสซื่อไร้เดียงสา เมื่อเห็นแม่ทัพหยวนเดินมา นางก็ยิ่งทำท่าและพูดจาเป็นห่วงฮูหยินเอกเข้าให้ แสดงกิริยาที่น่ารักน่าเอ็นดู หวังให้แม่ทัพหยวนชมชอบนางมากขึ้น
“พี่สาว ข้าว่าท่านควรจะให้ท่านหมอมาดูอาการ หากเจ็บป่วยขึ้นมาจะได้รีบรักษา หากท่านไม่รักตัวเองก็ควรจะรักท่านแม่ทัพบ้าง อย่าทำให้ท่านแม่ทัพต้องเป็นห่วงสิเจ้าคะ” คำพูดอันแสนหวานได้ออกจากปากเอ้อร์อี๋เหนียง
หยางลี่จูนึกชมญาติผู้น้อง ช่างเป็นน้องสาวที่แสนดีน่ารักยิ่งนัก ตั้งแต่ที่นางแต่งเข้ามา ไม่เคยทำตัวน่าชิงชังเหมือนกับอนุบ้านอื่น อีกคนก็คือเหวินอวี้เหยา
แม้นางจะพูดจาแดกดันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นพิษภัยอะไร ต่างคนต่างอยู่ นางก็ดีใจ ไม่วุ่นวายกันให้เกิดเรื่องริษยา
แม่ทัพหยวนพบฮูหยินตนเองยืนพูดคุยอยู่กับว่านเอ้อร์เหนียง เขาจึงได้เดินเข้ามา และพบว่าฮูหยินเอกของตนมีสีหน้าซีดเซียว จนทำให้เขาเห็นได้ชัด ฝ่ามือหนาประคองแขนนางด้วยความรัก
“จูเอ๋อร์ เจ็บปวดตรงไหนกัน บอกข้าที” น้ำเสียงและดวงตาของชายหนุ่ม ดูห่วงใยนางนัก
ว่านซูเจียวเหลือบมองด้วยความไม่พอใจ กระนั้นจึงได้แสร้งตีสองหน้า กล่าวคำพูดไพเราะต่อไป “เมื่อครู่พี่สาวถูกท่านแม่ตักเตือนเจ้าค่ะ ข้าจึงได้ออกมาดูแลกลัวว่าจะเสียใจ” น้ำเสียงหวานไพเราะจับใจ หยวนไห่จงมองอนุว่านและแย้มยิ้มขึ้นมา นึกชื่นชมว่านางช่างมีน้ำใจนัก
“ขอบใจเจ้ามากที่ดูแลนาง” ชายหนุ่มกล่าวและมองนางอย่างชื่นชม นางน่ารักอ่อนหวานและเรียบร้อย เหมือนกับฮูหยินของตน นับว่ามารดาหาภรรยามาเพิ่มไม่ผิดหวัง เรื่องวุ่นวายเรือนหลังไม่มีให้เขาได้ปวดหัว
“เจ้าค่ะ ท่านพี่ เพราะข้าต้องมาดูแลปรนนิบัติพี่สาวอยู่แล้ว” นางทำเป็นเอียงอาย ได้อย่างน่ารักยิ่งนัก ทำให้ท่านแม่ทัพหยวนมองด้วยสายตาเอ็นดู
“ท่านพี่ ปล่อยข้าเถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอะไร อีกอย่างวันนี้ข้ามีนัดกับหรงเอ๋อร์ที่โรงน้ำชา” ลี่จูดันฝ่ามือของสามีออก นางเงยหน้ามองชายหนุ่ม ระบายยิ้มอ่อน ซ่อนความขมขื่นเอาไว้ ดวงตากลมโตดูไหวระริก นางกำลังลังเลบางอย่างอยู่ในใจ
“อ้อ ให้ข้าไปเป็นเพื่อนดีหรือไม่” เขาเป็นห่วงนาง เห็นท่าทางที่ห่างเหินเช่นนี้ใจคอไม่ดีนัก หากเกิดเป็นลมกลางทางขึ้นมา ใครจะดูแลนางกัน มีเพียงแค่อาเถาสาวใช้เท่านั้น คงจะไม่ดีสักเท่าไหร่นัก
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านพี่ไปทำธุระของท่านเถิด ข้าไม่มีอะไรให้ห่วงให้กังวล” น้ำเสียงแม้จะเจือความน้อยใจอยู่บ้าง รอยยิ้มแม้จะดูอ่อนโยน แต่ดวงตานั้นกำลังสั่นไหว มันเต็มไปด้วยความปวดร้าว ทุกข์ทรมานอยู่เต็มอก จะอดทนกล้ำกลืนได้นานสักเท่าไหร่
“เช่นนั้นท่านแม่ทัพ ดื่มน้ำชากับข้าที่เรือนได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าทำขนมเอาไว้ ยังไม่ได้นำไปให้ท่าน” ว่านซูเจียวเห็นว่าโอกาสมาถึง จึงได้รีบขว้าเอาไว้ คำพูดของนางที่เรียกขานสามียังดูห่างเหิน นั่นเพราะว่าแม่ทัพหยวนยังคงใจแข็งอยู่
“อ้อ เช่นนั้นก็ได้” แม่ทัพหยวนหมุนเดินออกไปพร้อมกับว่านซูเจียว นางมองแผ่นหลังของสามีที่เดินเคียงคู่กับญาติผู้น้อง เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั่น แต่หันกลับมาที่นางเล่า นางไม่มีความสุขเช่นนี้สักนิด
ในห้องใหญ่ของเรือนแม่สามี ก็คงยังได้ยินเสียงก่นด่าแผดเสียงดังลั่น ขนาดนางยืนอยู่ห่าง ๆ ก็คงยังได้ยินเข้าสองรูหู เหตุใดกัน
นางรักเขา และเขาก็รักนาง ชีวิตหลังแต่งงานแทนที่จะมีความสุขไร้ความทุกข์
แต่ทว่านับตั้งแต่แต่งงานกันมา นางไม่เคยได้ยินถ้อยคำของแม่สามีจะกล่าวพูดกับนางดี ๆ สักครึ่งคำ นางทำตัวเป็นลูกสะใภ้ที่ดี ดูแลแม่สามี เพียงแค่เมิ่งซื่อเห็นหน้านางก็แผดเสียงใส่ กล่าวเหยียดหยัน มิหนำซ้ำยังใช้ถ้อยคำรุนแรงเหยียดหยามนางอีกด้วย
หยางลี่จูเดินออกมาจากเรือนด้านหน้า คิดจะไปยังโรงน้ำชาที่นัดกันเอาไว้ แต่ทว่านางลืมถุงเงิน จึงคิดเดินกลับไปยังเรือนของตน เรือนของนางอยู่ปีกขวา ส่วนของอนุทั้งสองอยู่ปีกซ้าย เพียงแค่ไม่ถึงอึดใจ
นางก็เดินมายังเรือนนอนของตน หยิบเอาถุงเงินที่วางเอาไว้บนโต๊ะ และคิดจะเดินออกมา สาวใช้ของนางคืออาเถา สีหน้าคล้ายกับว่าโกรธใครมา นางจึงได้สอบถามสักเล็กน้อย
“อาเถา เจ้าเป็นอะไรกัน”
“ก็เอ้อร์อี๋เหนียงนะสิเจ้าคะ ไม่สำรวมสักนิด ร้องครางออกมากลางวันแสก ๆ เช่นนี้ และยังจะมีเสียงของท่านแม่ทัพอีก” อาเถาจงใจพูดขึ้นมา
ถุงเงินหล่นจากมือของหยางลี่จูทันใด ดวงตาคู่สวยกำลังเอ่อด้วยม่านน้ำตา นางนิ่งชะงักงันไปครู่หนึ่ง นึกไม่ถึงลับหลังนางเพียงไม่นาน สามีของนางกับญาติผู้น้อง จะเสพสังวาสกลางวันแสก ๆ เช่นนี้
อาเถานับว่าเป็นโชคสองต่อนัก นางก้มเก็บถุงเงินขึ้นมา ช้อนสายตามองเจ้านาย กดยิ้มเล็กน้อย จึงได้เติมเชื้อถ่านสุมไฟขึ้นมาอีกครั้ง “เมื่อครู่ ข้ายังได้ยินท่านแม่ทัพบอกว่า ที่แต่งงานกับ...”
นางทำเป็นอึกอักไม่กล้าพูด ก้มหน้าเล็กน้อยเท่านั้น
“กับใคร” น้ำเสียงของนางสั่นเครืออยู่ไม่น้อย แววตาดูวูบไหวเข้าใจ กลางอกเจ็บแปลบขึ้นมาทันใด
“กับคุณหนูเพราะให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ ที่รับพวกนางเข้าเรือนช้าไป ก็เพราะว่ารับปากเอาไว้เช่นเดียวกัน แต่ว่าฮูหยินน้อยอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลยนะเจ้าคะ
ท่านก็อยู่ที่นี่แล้ว เป็นถึงฮูหยินเอกของท่านแม่ทัพ พวกนางสองคนไม่กล้าทำอะไรท่านแน่นอนเจ้าค่ะ” อาเถาจีบปากพูดขึ้นมา ช้อนสายตายิ้มเยาะเบา ๆ กล่าวพูดไม่ติดขัดสักครึ่งคำ
“ข้าเข้าใจแล้ว มีอะไรก็ไปทำเถอะ ข้าจะไปหาหรงเอ๋อร์” คล้ายว่านางถูกความโง่งม หลอกลวงให้นางรัก ทุ่มเททั้งกายและใจ หวังเพียงแค่จะตั้งครรภ์ขึ้นมา
สุดท้ายแล้ว เขากลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน คำว่ารัก คำสั้น ๆ ที่เขามักพร่ำพูดเสมอ มันเชื่อไม่ได้เช่นนั้นเชียวหรือ เคยพูดบอกนางว่าจะไม่มีภรรยารองและอนุ สุดท้ายแล้วก็เป็นเขาที่ยินดีรับพวกนางเข้ามา
ในที่สุด นางก็เจ็บปวดไม่ต่างจากสหายของนาง ไป๋ฟางหรง ก็คงจะเจ็บปวดชอกช้ำใจเช่นนี้สินะ นางเพิ่งเข้าใจวันนี้นี่เอง ว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน จนทำให้นางต้องนั่งลง ด้วยเพราะไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเดินออกจากห้องนี้ไปเสียด้วยซ้ำ
อาเถายิ้มเหยียดอย่างสาแก่ใจ นางพูดในใจว่า ‘ขอเพียงแค่ท่านหย่าทุกอย่างก็จบ จะไม่เจ็บเช่นนี้อีก’