7. คงมิรอด
"เห็นเจ้าดีขึ้นเช่นนี้อาก็ดีใจ" ซือหรานใช้มือลูบลงที่ใบหน้าหลานชายที่ยังคงหลับสนิทอยู่ ลี่ถิงเดินเข้ามาพอดีไม่คิดว่าจะเห็นภาพ ของคนที่เอ่ยวาจาถากถางตนทุกคำจะอ่อนโยนได้เพียงนี้
"ยามที่พูดคุยกับข้ามิเห็นจะทำเช่นนี้เลย มีแต่จะขย้ำกันเสียมากกว่าทั้งที่ใบหน้านี้ก็ออกจะงาม" ลี่ถิงเอ่ยออกมาเบาๆ พร้อมกับก้าวเท้าเดินเข้าไปที่เตียงกว้าง และยาที่พึ่งปรุงเสร็จ กลิ่นของสมุนไพรโชยมาตามลม ทำให้อ๋องซือหรานต้องหันไปตามกลิ่นนั้น เมื่อเห็นว่าอีกคนเดินเข้ามาจึงขยับกายลุกออกให้
"ได้ยินว่าเจ้าตื่นนานแล้ว ไม่คิดว่าจะรู้ หน้าที่ถึงเพียงนี้"
"......?" ลี่ถิงมองหน้าอีกคนนิ่ง คิดในใจเพียงว่า
"คนผู้นี้ดูท่าจะมีอคติกับข้าเหลือเกิน คงจะพูดดีด้วยยากเป็นแน่" นางคิดในใจจนทำให้ยืนนิ่งไปชั่วขณะ
อ๋องซือหรานมองอีกคนที่นิ่งไม่โต้เถียงอย่างเคย ก็อดที่จะแปลกใจมิได้แต่ก็ปล่อยผ่านไป เพราะตอนนี้คือต้องป้อนยาคนที่ยังมิได้สติ ซือหรานบีบปากหลงจื่อเช่นเคย ส่วนลี่ถิงก็เป่ายาก่อนจะป้อนให้ ทำให้คนที่คอยแอบมองอยู่อดที่จะจับจ้องริมฝีปากอิ่มที่กำลังพ่นลมมิได้
ดวงตาสวยเหลือบมามองคนตัวโตบ้าง เพื่อให้เขาได้รู้ตัวและจดจำสิ่งที่เอ่ยเมื่อคืนให้ขึ้นใจ ทำเอาซือหรานถึงกับชะงักเมื่อเจอกับสายตาที่สื่อคำตำหนิมาด้วย
“ข้าก็แค่มอง เกรงว่าเจ้าจะใส่อย่างอื่นลงไปเท่านั้น”
“หึ! แล้วแต่จะพูดเถอะเพคะ” เสียงหวานดังมาเพียงเท่านั้น ลี่ถิงป้อนยาจนกระทั่งหมดก็ใช้ผ้าเช็ดที่มุมปากของคนที่หลับอยู่ ทุกอย่างอยู่ในสายตาของซือหราน แม้จะแปลกใจที่ตนนั้น มักจะจ้องมองคนตรงหน้าอยู่บ่อยครั้งก็ตาม แต่ก็เพียงแค่คิดว่าคงเพราะกังวลเรื่องรักษาเท่านั้น
จึงทำให้เขาคอยจับสังเกตอีกฝ่ายเช่นนี้ และดูเหมือนว่าลี่ถิงเองก็คิดไปในทางเดียวกัน จึงมิอยากจะเก็บเอาสายตาอีกคนมาใส่ใจ พอสายหน่อยฮ่องเต้ก็เข้ามาเยี่ยมโอรสพร้อมพระสนมอีกครั้ง
"สีหน้าดีขึ้นมากแล้วนี่ แต่เหตุใดจึงยังมิฟื้นล่ะ" ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นทันทีเมื่อนั่งลงข้างโอรสของตน สนมหลิวหันมาหาน้องสาวที่ยืนอยู่ข้างเตียง พร้อมกับสีหน้าที่เป็นกังวลมิต่างกัน ยามนี้แม้คนบนเตียงจะอาการดีขึ้น แต่ร่างกายก็ยังมิตอบสนองสิ่งใดแม้แต่น้อย
"รัชทายาทพึ่งเสวยยาไปเพียงสองครั้งเพคะ หม่อมฉันเองก็หาใช่หมอเทวดาไม่ รัชทายาทจะรอดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับลิขิตสวรรค์ด้วยเพคะ หม่อมฉันทำเต็มที่แล้ว" ลี่ถิงเอ่ยในสิ่งที่มิอาจคาดเดาได้ เพราะพิษนี้มีส่วนผสมมากมายต้องใช้เวลาแยกแยะ และแก้ไปทีละอย่าง ฮ่องเต้ถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินเช่นนี้
"หากเป็นดั่งที่เจ้าว่าข้าก็ฝากด้วยนะ ทำให้เต็มที่ก็พอข้าจะไม่เอาโทษกับผู้ใด หากสวรรค์มิทรงเมตตา จะฝืนลิขิตก็คงจะทำมิได้" น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาบ่งบอกให้รู้ว่ายามนี้ฮ่องเต้นั้นเริ่มทำใจแล้ว เพราะข่าวที่รายงานมานั้นแจ้งว่าพิษนี้มิมีทางรักษาหายได้ หากมิได้ยาถอนจากผู้ที่ปรุงขึ้นมา และจะตามหาก็คงมิทันการณ์แล้วในยามนี้
"ฝ่าบาทอย่าทรงกล่าวเช่นนั้นเลยพะยะค่ะ หลงจื่อจะมิเป็นอันใดอย่างแน่นอน ยาที่ลี่ถิงปรุงขึ้นทำให้อาการของหลานกระหม่อมดีขึ้นถึงเพียงนี้ เรายังมีหวังพะย่ะค่ะ"
ซือหรานปลอบใจพระเชษฐาที่ดูเป็นกังวลอย่างมากเพราะรู้ดีว่าฮ่องเต้นั้นรู้สึกเช่นไร ตัวแทนความรักที่ฮองเฮาองค์ก่อนเหลือไว้ให้ดูต่างหน้า กำลังนอนหลับไหลมิได้สติอยู่บนเตียง ไม่ว่าผู้ใดก็คงจะทุกข์ใจไม่ต่างกัน ลี่ถิงยืนมองสองพี่น้องปลอบกันก็นึกยิ้ม ก่อนจะสังเกตเห็นว่าคนที่มิได้สติยามนี้ร่างกายกำลังจะขับพิษออกมา
"ฝ่าบาทท่านอ๋องหลบออกมาก่อนเพคะ" ลี่ถิงรีบเข้าไปประคองรัชทายาทให้ลุกขึ้น แล้วปล่อยให้หลงจื่อพ่นโลหิตพิษออกมาอีกครั้ง
"เกิดอะไรขึ้น! เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้" อ๋องซือหรานเอ่ยออกมาอย่างร้อนใจ ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ในห้อง ลี่ถิงเช็ดเลือดออกจากมุมปากพร้อมกับประคองร่างแกร่งลงนอนอีกครั้ง นางกวาดสายตามองไปยังผู้ที่พึ่งมาถึงอย่างฮองเฮาและสนมทั้งสอง รวมถึงพี่สาวของตนด้วย ฮองเฮาเมื่อมาถึงก็มิฟังอันใด พอเห็นเลือดนางก็กรีดร้องทันที
"นี่มันเกิดอะไรขึ้น เจ้ารักษารัชทายาทเช่นไรถึงเป็นเช่นนี้ไปได้" ฮองเฮาหันกลับมาตำหนิลี่ถิง
“หม่อมฉันต้องรักษาต่อเพคะ” สตรีตัวน้อยเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ทำให้ฮองเฮาตั้งท่าจะตำหนิอีกครั้ง ซือหรานมองดูคนที่นั่งอยู่ข้างรัชทายาทก็พอเข้าใจสายตาและคำพูดที่นางหมายจะสื่อ จึงหันไปหาผู้พี่ที่ยืนอยู่ข้างตน ฮ่องเต้เองก็เข้าใจสายตาของคนน้องเป็นอย่างดี
"พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ อย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด" น้ำเสียงเด็ดขาดดังขึ้น ทำเอาฮองเฮาและสนมทั้งสองต่างก็ตื่นกลัว และรีบพากันออกมายืนรอด้านนอก แต่ยังมีใครบางคนยิ้มร้ายเมื่อได้เห็นอาการทรุดหนักของคนที่อยู่บนเตียง เมื่อด้านในเหลืออยู่เพียงฮ่องเต้และอ๋องซือหราน เขาจึงรีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงทันที
"เหตุใดหลงจื่อจึงกระอักเลือดเช่นนี้ เป็นเรื่องร้ายหรือดี"
"รัชทายาทเพียงแต่กระอักเอาพิษในเลือดออกมาเท่านั้นเพคะ ยาที่หม่อมฉันพึ่งให้เสวยจะช่วยไล่พิษในเลือดออกมา และจะเป็นเช่นนี้ทุกวันจนกว่าจะขับพิษออกหมด ฝ่าบาทและท่านอ๋องอย่าทรงกังวลไปเลยเพคะ" ลี่ถิงเอ่ยบอกความจริงออกไป ซือหรานมองคนที่นั่งเช็ดตัวให้หลานชายอย่างครุ่นคิด เพราะการที่อีกคนปกปิดเรื่องนี้คงรู้อะไรมาเป็นแน่
"ที่เจ้ามิอยากเอ่ยต่อหน้าผู้อื่น เพราะเกรงว่ารัชทายาทจะไม่ปลอดภัยสินะ" เขาเอ่ยถามอีกคราเมื่อยามนี้มิมีผู้อื่นลี่ถิงหันมาสบตากับคนที่ยืนอยู่ข้างตน แววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของคนตรงหน้า ทำเอานางต้องเอ่ยบอกความจริงที่คิดจะเก็บไว้ออกมา
"เมื่อเช้าหม่อมฉันปรุงยา ดูเหมือนมีคนจงใจสลับตัวยาที่เป็นพิษผสมมาด้วย แม้จะไม่มาก แต่มันก็สามารถกระตุ้นให้พิษในร่างกายนี้ออกฤทธิ์จนทำให้ตายได้เพคะ"
"เจ้าคิดว่ามีคนลอบเข้ามา หรืออาจจะอยู่ที่นี่โดยที่เป็นใครก็ได้เช่นนั้นหรือ" ซือหรานเอ่ยถามเพื่อคลายสงสัย
"เพคะ แต่หม่อมฉันก็มิอาจรู้ได้ว่าเป็นใคร เพราะเจอในห่อเทียบยา ซึ่งอาจเป็นคนในนี้หรือคนนอกก็ได้” เพียงได้ฟังแค่นั้น ซือหรานก็ขบกรามแน่น ก่อนจะตั้งท่าเดินออกจากห้องเพื่อไปสืบหาคนที่ทำเรื่องเช่นนี้ แต่กลับถูกมือเรียวเล็กรั้งไว้เสียก่อน
เขายืนชะงักนิ่งกับสัมผัสเพียงน้อยนิดที่อีกฝ่ายแตะ ก่อนจะได้สติเมื่อนางเอ่ยบอกเหตุผล
"ช้าก่อนเพคะท่านอ๋อง หากหาตัวคนทำตอนนี้คงจะหาตัวคนบงการได้ยาก หม่อมฉันคิดว่าปล่อยให้คนผู้นั้นคิดว่าทำแผนนี้สำเร็จดีกว่าเพคะ เราจะได้รัักษารัชทายาทได้โดยมิต้องกังวลสิ่งใดอีก" เอ่ยจบนางก็ปล่อยมือนุ่มออก
ฮ่องเต้หันมาพยักหน้าให้กับอนุชาของตน ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นเมื่อมองเห็นโอรสของตนลืมตาขึ้นช้าๆ หลงจื่อเอ่ยเรียกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
"เสด็จพ่อ เสด็จอา ลูกยังไม่ตายหรือพะยะค่ะ" ลี่ถิงลุกออกจากเตียงเพื่อหลบให้ฮ่องเต้ รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้าหวาน ซือหรานมองหน้าหลานชายก่อนจะหันมายังผู้ที่ทำให้หลงจื่อฟื้นอีกครั้ง พร้อมกับถ้อยคำอ่อนโยนที่เอ่ยขึ้นกับลี่ถิงเป็นครั้งแรก
"ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยหลานชายข้า"
"ไม่ว่าจะเป็นใครหม่อมฉันก็ต้องช่วยเพคะ" ลี่ถิงเอ่ยจบก็เดินไปนั่ง ก่อนจะเขียนเทียบยาใบใหม่ เพราะยาที่ใช้ก่อนนี้เป็นเพียงยาขจัดพิษในเลือด ยังต้องใช้สมุนไพรที่ต้องไปเก็บบนเขาอีก และตนต้องเดินทางไปเก็บเองเพราะมิมีผู้ใดรู้จัก จึงจำต้องปรุงยาขึ้นมาไว้ในช่วงที่ตนไม่อยู่
"ท่านอ๋องนี่เป็นเทียบยาที่ต้องใช้เพคะ และพรุ่งนี้หม่อมฉันจะเดินทางไปเก็บสมุนไพรเอง เพราะสมุนไพรนี้คนทั่วไปไม่รู้จัก คงต้องขอทหารจากฝ่าบาทติดตามไปด้วยเพคะ เพราะคงต้องปีนป่ายขึ้นไปเก็บบนเขา"
นางเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งเทียบยาให้อ๋องซือหราน อ๋องหนุ่มมองหน้าคนที่บอกจะเดินทางไปเก็บสมุนไพรต่างเมือง จู่ๆ เขาก็เกิดกังวลหากต้องปล่อยให้นางเดินทางไปกับทหาร เพราะดูท่าคงต้องนอนค้างแรมเป็นแน่ ความคิดหนึ่งจึงผุดขึ้น และสิ่งที่เร็วเท่าความคิดก็คือปากเขา ที่มันรีบเอ่ยออกมาทันที
"ไปเก็บสมุนไพรต่างเมือง คงต้องไปหลายวันเช่นนั้นข้าจะไปกับเจ้าด้วย หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า หลานชายข้าคงจะแย่ไปด้วยเป็นแน่"
"จริงด้วยที่นี่ยังมีหมอหลวง เจ้าบอกวิธีปรุงยาให้ก็พอ เจ้าปลอดภัยหลงจื่อก็จะปลอดภัยไปด้วย" ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นบ้าง ทำให้ลี่ถิงเพียงแต่ยิ้มออกมาเล็กน้อยเท่านั้น เพราะดูท่านางคงมิมีทางขัดสองพี่น้องนี้ได้เป็นแน่
หลงจื่อจ้องมองผู้ที่ยืนอยู่ข้างเสด็จอาของตน แม้จะอดสงสัยมิได้ว่าสตรีผู้นี้เป็นใครกันแน่ แต่เขาก็ไม่มีแรงเอ่ยถามอันใดออกไปจนสุดท้ายก็หลับไป ฮ่องเต้จึงเรียกนางกำนัลเข้ามาทำความสะอาดคราบเลือดที่เลอะพื้นห้อง
"ข้าจะกลับไปพักก่อนฝากเจ้าสองคนดูแลหลงจื่อด้วย"
"พะยะค่ะ/เพคะฝ่าบาท" ทั้งสองรับคำพร้อมกับน้อมส่งฮ้องเต้ที่เดินออกไปแล้ว ซือหรานรีบตามคนตัวเล็กที่เดินมานั่งพักอีกมุมห้องทันที
"ข้าอยากรู้ว่าเราจะต้องไปเก็บสมุนไพรที่ใด"
"เมืองสิบลี้เพคะ ที่นั่นมีสมุนไพรที่หม่อมฉันต้องการ"
"อืม ข้าจะสั่งคนเตรียมรถม้า" เป็นคราแรกที่อ๋องหนุ่มมิเอ่ยถ้อยคำเหน็บแนมเช่นเคย แต่นางก็อดถามมิได้
"เหตุใดจึงให้เตรียมรถม้าเพคะ"
"เจ้าจะได้นั่งสบาย อีกอย่างคุ้มกันได้ง่ายกว่าการขี่ม้า"
"แม้หม่อมฉันจะเป็นสตรี แต่ก็ขี่ม้ายิงธนูได้เช่นบุรุษทั่วไป ใช่ว่าจะอ่อนแอเช่นหน้าตาอย่างที่ท่านอ๋องเห็นไม่"
เอ่ยจบลี่ถิงก็เอนตัวพิงพนักกั้นด้านหลังก่อนจะหลับตาลง ขนตายาวดำขลับปิดบังดวงตาเรียว ริมฝีปากอิ่มได้รูปที่อีกคนมักจะมองอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ซือหรานลอบกลืนน้ำลายลงคอเมื่อยิ่งได้มองใกล้ๆ เช่นนี้
"หากท่านอ๋องจ้องหม่อมฉันถึงเพียงนี้ ไยมิแต่งเข้าไปเป็นพระชายาเลยล่ะเพคะ" ลี่ถิงเอ่ยขึ้นในขณะที่ยังคงหลับตาอยู่ ทำเอาอีกฝ่ายชะงักไปทันที
ที่นางรู้ว่าตนนั้นจ้องมองอยู่ ยิ้มร้ายผุดขึ้น
"หากข้าจะแต่งสตรีเช่นเจ้าเป็นชายา ข้าคงต้องขอทดลองดูก่อนว่าเจ้าควรค่าพอให้ยกย่องเพียงนั้นหรือไม่ แต่คนเช่นข้ามิมีทางเอาสตรีต้องสาปมาเป็นชายาหรอก"
คำพูดหยามเหยียดถูกเปร่งออกมาจากริมฝีปากหนาของผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ รอยยิ้มเล็กผุดขึ้นบนใบหน้าหวานที่หลับตาอยู่ ก่อนที่นัยน์ตาเย้ายวนสีอำพันจะเปิดขึ้น พร้อมกับเด้งตัวคร่อมร่างแกร่งให้นอนราบลงบนพื้น