4. สตรีขี้เมา
ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่างทั่วพื้นป่าทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา ยังคงมีทหารจำนวนหนึ่งควบม้าไล่ตามกลุ่มคนชุดดำออกมาจากเมืองหลวง โดยไม่หยุดพักจนมาถึงเชิงเขาที่มีต้นไม้ใหญ่และป่าไผ่ล้อมรอบปกคลุม
เสียงฝีเท้าม้าหยุดลง มีเพียงเสียงลมที่พัดพาความหนาวเย็นมากระทบร่าง เหล่าทหารเกราะดำของหน่วยองครักษ์ สอดส่องสายตาทุกทิศเพื่อมองหากลุ่มคนร้ายที่ตนติดตามมาแต่ก็ไร้วี่แวว
"ท่านอ๋องดูเหมือนพวกมันจะหนีไปไกลแล้วพะยะค่ะ"ห้าวเฉิงเอ่ยขึ้นเมื่อตรวจตรารอบๆ แล้ว
"กระหม่อมคิดว่าเรากลับไปดูรัชทายาทกันเถอะพะย่ะค่ะ ป่านนี้คงจะอาการทรุดมากแล้วเป็นแน่"หยางเหอเอ่ยในสิ่งที่กังวลมาตลอดทาง
เพราะรัชทายาทถูกลูกดอกอาบยาพิษ ท่านอ๋องจึงต้องออกมาตามจับคนร้ายเองเช่นนี้ เพื่อนำยาถอนพิษกลับไปด้วย แต่ดูเหมือนจะเสียแรงเปล่าเสียแล้ว อ๋องซูซือหรานขบกรามแน่น อุตส่าห์ควบม้ามาด้วยความเร็ว แต่ดูเหมือนจะช้ากว่าคนร้าย เช่นนี้แล้วจะช่วยหลานชายที่ถูกพิษได้อย่างไร มือหนาดึงเชือกบังคับม้าหันกลับเข้าเมืองทันที
ภายในวังเริ่มโกลาหลวุ่นวาย เพราะรัชทายาทถูกพิษในงานปล่อยโคมไฟ ก่อนจะถูกพาตัวกลับเข้าวังเพื่อรักษา แต่เพราะพิษที่ถูกนั้นดูเหมือนจะเป็นพิษจากต่างแดน จึงทำให้หมอหลวงมิสามารถถอนพิษได้
"พวกเจ้าอารักขาเช่นไร! ถึงทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้"น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้น ทำให้เหล่าข้ารับใช้ต่างก็คุกเข่าหมอบอยู่บนพื้นด้วยความตื่นกลัว ฮ่องเต้รีบเดินเข้าไปดูโอรสที่นอนหายใจรวยรินบนเตียง ริมฝีปากเริ่มเขียวช้ำเพราะพิษกำลังแผ่ไปทั่วร่าง
"ซูหลงจื่อเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง อดทนก่อนเถอะ เสด็จอาของเจ้ากำลังตามไปเอายาถอนพิษให้"
ฮ่องเต้เอ่ยน้ำเสียงห่วงใยกับโอรสตนที่ไม่ได้สติ ไม่นานซูซือหรานก็กลับมา พร้อมกับสีหน้าที่บ่งบอกให้รู้ว่าสิ่งที่หวังนั้นมิสามารถนำกลับมาได้ ซือหรานคุกเข่าลงพร้อมกับคำนับผู้พี่ ฮ่องเต้ถึงกับทรุดลงนั่งบนเตียงของบุตรชาย
"กระหม่อมขออภัยฝ่าบาท ที่มิสามารถนำยาถอนพิษกลับมาได้พะยะค่ะ"
ฮ่องเต้ไม่เอ่ยอันใดแม้แต่น้อย ทำเพียงแค่กุมมือของโอรสไว้แน่นด้วยความห่วงใย ไม่ต่างจากอ๋องซือหรานที่จ้องมองร่างไร้สติของพระนัดดา แม้จะอยู่ในอาภรณ์ปักรวดลายสมตำแหน่ง แต่กลับมีใบหน้าซีดเซียวจนน่าหดหู่
"หมอหลวงท่านทำอะไรอยู่เหตุใดจึงไม่รีบปรุงยารักษา" ซือหรานหันไปตำหนิทันที
"ขออภัยท่านอ๋อง กระหม่อมลองแล้วพะยะค่ะ แต่ยิ่งปรุงยาก็ยิ่งเหมือนเพิ่มพิษเข้าสู่ร่างกายรัชทายาท กระหม่อมจนปัญญาจริงๆ พะยะค่ะ"
หมอหลวงคุกเข่าลงหมอบอยู่กับพื้น เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับฮองเฮาและสนมหมิงพร้อมสนมหลิวเข้ามาพอดี สนมหลิวได้ยินเช่นนั้นก็หวนคิดถึงน้องสาวตน ที่ศึกษาเรื่องสมุนไพรมากมายบนเขา อาจจะพอช่วยรักษารัชทายาทได้บ้าง แต่เพราะนางยังเด็กนักมิรู้ว่าจะมีผู้ใดเชื่อถือยอมให้ทำการรักษาหรือไม่
"ฝ่าบาทเพคะ เช่นนั้นให้น้องสาวของหม่อมฉันลองปรุงยา ให้รัชทายาทดูได้หรือไม่เพคะ” สนมหลิวเอ่ยถึงน้องสาวที่มีอายุห่างกันเกือบสิบปี และพึ่งกลับมาจากหุบเขาคีรี ซึ่งที่นั่นเต็มไปด้วยสมุนไพรมากมาย นางถูกส่งให้ไปอยู่ เพียงเพราะคำทำนายประหลาดที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จึงทำให้นางต้องพลัดบ้านไปหลายปี
"คนเช่นนั้นจะให้มารักษารัชทายาทอย่างนั้นหรือ นางเป็นสตรีต้องคำสาปโชคชะตาจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง เจ้ายังคิดจะนำเข้ามาให้วุ่นวายอีก" ฮองเฮาเอ่ยขึ้นด้วยถ้อยคำดูถูก เหตุเพียงมิได้ชอบใจสนมหลิวมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เพราะฮ่องเต้นั้นมีใจรักใคร่สนมสามัญผู้นี้มากกว่าผู้อื่น อีกทั้งคำล่ำลือถึงบุตรสาวสกุลจางนี่อีก
สตรีสาวจอมเสเพลรักสนุก เอาแต่ดื่มสำราญในหอสุราและหอชมจันทร์ทั้งที่เป็นสตรีและยังอายุน้อยอยู่ ลงมาจากเขาก็มิไปที่ใดเข้าออกแต่ที่นั่นมิเว้นวัน แต่ทุกคราที่นางเอ่ยเช่นนี้ ผู้ที่ค้านก็ยังเป็นอ๋องซือหรานเช่นทุกครา
"ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร หากช่วยรัชทายาทได้ก็ควรจะลองดูมิใช่หรือ" อ๋องซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ก่อนจะสั่งให้คนไปรับตัวน้องสาวของพระสนมเข้าวัง แต่กว่าจะตามหาตัวของท่านหมอผู้นี้พบ ก็ทำให้กินเวลาไปหลายชั่วยาม ซ้ำสภาพที่มาก็ดูไม่เรียบร้อยเลยสักนิด
ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ของสตรีตัวน้อย ดูงดงามต่างจากผู้พี่มาก เพราะนางตาโตแก้มเนียนใสน่าหยิกเสียเหลือเกิน ปากอิ่มสีชมพูระเรื่อโดยมิได้แต่งแต้มสิ่งใด ผิวพรรณก็ขาวราวไข่มุกมิมีที่ติเลยสักนิด
แต่! นางแต่งกายด้วยอาภรณ์ของบุรุษซ้ำยังมัดผมขึ้นเป็นกระจุกต่างจากสตรีหรือบุรุษทั่วไป อีกทั้งยังมีกลิ่นเหล้าคละคลุ้งจนทำเอาทุกคนต้องกลั้นจมูกเอาไว้ เพราะดูท่านางจะดื่มมาทั้งคืนเสียด้วยซ้ำ ซือหรานมองอีกฝ่ายด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวที่กำลังก่อตัว เพราะมิคิดว่าจะมีคนกล้าดูหมิ่นราชวงค์ถึงเพียงนี้
"คนเช่นนี้หรือจะรักษาโอรสข้า สนมหลิวไยเจ้าถึงกล้าออกความคิดเอาคนเช่นนี้เข้ามาในวังข้า" ฮ่องเต้หันมาตำหนิเสียงแข็งใส่สนมตนทันที สนมหลิวเมื่อเห็นท่าทีของน้องสาวก็พาให้รู้สึกผิด จึงเดินเข้าไปหาคนที่ยืนโงนเงน แทบมิได้สติ นางมิคิดเช่นกันว่าลี่ถิงจะเมามายเพียงนี้
"จางลี่ถิงนี่เจ้าไปดื่มที่หอชมจันทร์อีกแล้วหรือ เหตุใดจึงทำตัวเสเพลเยี่ยงนี้ เจ้าเป็นสตรีนะ! ตอนนี้พี่หญิงต้องการความช่วยเหลือ แต่เจ้ากลับเป็นเช่นนี้ไปได้ เจ้าดูเถอะรัชทายาทถูกพิษนอนไร้สติอยู่บนเตียง พี่อยากให้เจ้าช่วยรักษาแต่เจ้าเมาเช่นนี้จะทำอะไรได้"
สนมหลิวเอื้อนเอ่ยถ้อยคำตัดพ้อน้องสาวออกมา จนอีกฝ่ายต้องหยุดชะงักกับคำพูดนั้น ยิ้มหวานเผยออกมาจนผู้คนในห้องบรรทมของรัชทายาทต่างก็ตะลึงงัน ไม่คิดว่านางจะมีรอยยิ้มงดงามได้ถึงเพียงนี้
"อื้ม เอาน่าพี่หญิงข้าจะช่วยรัชทายาทเอง อึก! อย่าเอ่ยวาจาตัดพ้อนักเลย ข้าจะรักษาให้ก็ได้" ลี่ถิงหันไปมาอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงยาน
"แล้วผู้ใดคือฮ่องเต้กันล่ะ ข้าจะได้คำนับถูก อึก" เพราะนางอยู่บนเขาตั้งแต่เด็กไปมาที่เรือนบางครั้ง เลยไม่รู้ว่าผู้ใดกันคือบุรุษเหนือแผ่นดินจึงเอ่ยถามเสียก่อน
"ข้าคือฮ่องเต้ ส่วนนี่อนุชาข้าซือหราน และนั่นฮองเฮาและสนมหมิง เจ้าแน่ใจหรือว่าจะรักษาโอรสข้าได้”
ซ่งจินหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ แม้จะไม่พอใจจนอยากสั่งประหารก็เถอะ แต่ยามนี้คงมิมีทางอื่นให้เลือกมากนัก จำต้องให้เด็กสาวผู้นี้ทำการรักษาดูก่อน หากมิสำเร็จค่อยสั่งประหารก็มิสาย
ลี่ถิงหันไปคารวะฮ่องเต้และคนอื่นๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังผู้ที่นอนอยู่บนเตียงกว้าง ใบหน้าซีดเผือดและริมฝีปากเขียวช้ำ บกบ่องว่าพิษร้ายคงเข้าในเส้นเลือดแล้ว นัยน์ตาสวยหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะจับชีพจรอีกฝ่ายดูเข็มขนาดเล็กในห่อผ้าที่นางมักพกติดตัวถูกชูขึ้น ก่อนจะใช้มันปักลงที่ปลายนิ้วเรียวของคนที่มิได้สติ
การกระทำทุกอย่างล้วนแต่อยู่ในสายตาทุกคน อาการโงนเงนที่ปรากฏให้เห็นทำให้คนในห้องต่างก็กังวลเป็นอย่างมาก เพราะเกรงว่านางจะทำให้รัชทายาทตายเร็วขึ้น
“กระหม่อมมิวางใจเลยพะย่ะค่ะ” ซือหรานเอ่ยขึ้น แม้คราแรกจะสนับสนุนความคิดของสนมหลิว แต่พอมาเห็นเช่นนี้เขาก็หวั่นใจยิ่งนัก เกรงว่าหลานชายจะไม่รอด
“อย่าเสียงดังข้าต้องใช้สมาธิ พิษนี้มีหลายชนิด เอาเป็นว่าข้าจะให้ยาสะกัดเอาไว้ก่อนแล้วกัน” น้ำเสียงจริงจังหากติดซะว่ามันหย่อนยานนี่สิ ทำเอาคนในห้องถึงกับนิ่งไปมิใช่เพราะคำสั่งของนางหรอก แต่มิคิดว่าจะมีคนกล้าเอ่ยวาจาสามัญชนกับเหล่าราชวงศ์ได้
“ขอพระราชทานอภัยเพคะ หากรักษาเสร็จแล้วหม่อมฉันยินดีจะรับโทษพร้อมลี่ถิง” สนมหลิวเอ่ยขึ้นเพราะรู้สึกผิด ทำให้ฮองเฮายิ้มเยาะออกมาในทันที
ลี่ถิงไม่ได้ใส่ใจเสียงพูดคุยของผู้อื่น นางกำลังล้วงเอาขวดยาขนาดเล็กออกมาก่อนจะกรอกมันลงไปในปากของรัชทายาททำเอาทุกคนต่างก็พากันตกใจ แต่ยังมิเท่าที่ร่างนี้สำลอกออกมาซึ่งมีแต่โลหิตสีดำคล้ำ
“เจ้าเอาสิ่งใดให้โอรสข้ากิน หลงจื่อเป็นเช่นไรบ้าง” ฮ่องเต้ตรงเข้ามาทันที ซึ่งยามนี้โอรสเริ่มขยับกายได้แล้ว
“ข้าต้องปรุงยาต้องไปที่ใด” ลี่ถิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันมามองหน้าทุกคน ทำให้สนมหลิวต้องรีบเอ่ยท้วง
“เจ้าต้องแทนตนว่าหม่อมฉัน และต้องเอ่ยคำว่าเพคะต่อท้ายทุกครั้งที่นี่คือตำหนักบูรพา” เพราะเกรงว่าน้องสาวจะถูกลงโทษ จึงต้องรีบเอ่ยเตือนแม้ดูแล้วจะมิทันการณ์ก็เถอะ ทำให้ลี่ถิงถึงกับเกาหัวในทันที
“ทำไมถึงยุ่งยากจัง ว่าแต่ข้า เอ๊ย!หม่อมฉันจะปรุงยาได้ที่ไหนเพคะ แบบนี้ถูกหรือยัง?” แม้จะหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่ความไร้เดียงสาของสตรีตัวน้อยก็ทำให้อ๋องซือหรานนึกขันได้ มิต่างจากฮ่องเต้ที่คราแรกเขาเองก็โกรธนางมาก แต่พอเห็นว่าโอรสเริ่มมีสีหน้าดีขึ้นก็ผ่อนคลายลง