3. อยากรู้
หลังจากทานอาหารในโรงเตี๊ยมแล้วเสร็จลี่ถิงก็พาคนของตนออกเดินทางอีกครั้ง
“นายน้อยเมื่อคืนไปที่ใดมาเจ้าคะ ข้าน้อยได้ยินเสียงคนต่อสู้กัน มิใช่ว่าออกไปทำเรื่องอะไรใช่หรือไม่” ม่านชิงเอ่ยถามในขณะที่ขึ้นมานั่งบนหลังม้าแล้ว
“มีเรื่องสนุกจะให้ข้าอยู่เฉยได้เช่นไร” เสียงหวานเอ่ยตอบก่อนจะควบม้านำทางคนของตน โดยมีนัยน์ตาคมมองตามร่างเล็กที่ดูคุ้นตาเขาเหลือเกิน หากเมื่อคืนคนที่แอบเข้าห้องมิดับไฟจนเกือบหมด เขาก็คงพอจะมองออกถึงสัดส่วนรูปร่างได้ถนัด
“เด็กหนุ่มนั่นมีสิ่งใดน่าสนใจหรือพะย่ะค่ะ” หยางเหอเอ่ยถามเมื่อเห็นผู้เป็นนายมองตามคนทั้งสามไปจนลับตา
“เด็กนั่นอาจเป็นคนที่เอายามาให้เราเมื่อคืน” เขาเอ่ยก่อนจะหยิบขวดยาออกมา ก่อนจะยัดมันเข้าไปอีกครั้ง
“จะเป็นไปได้หรือพะย่ะค่ะ ดูการแต่งกายก็น่าจะเป็นแค่พวกท่องยุทธภพอะไรเทือกนั้น หรือไม่ก็บุตรชายสกุลดังแถบนี้ ดูลักษณะมิน่าจะมีวรยุทธด้วยซ้ำ” ห้าวเฉิงเอ่ยพร้อมกับยืนกอดอกมองไปเบื้องหน้า ซือหรานเหลือบตามองเพียงนิด ก่อนจะสั่งให้ออกเดินทางต่อ
“ข้าพูดอะไรผิดหรือหยางเหอ” เขาเอ่ยถามสหายทันที
“หากเจ้ารู้จักมองคนให้แจ้งบ้างก็ดีนะห้าวเฉิง จะได้มิเอ่ยสบประมาทผู้อื่นเช่นนี้” หยางเหอเอ่ยก่อนจะก้าวขึ้นม้าควบตามผู้เป็นนายไป ทิ้งให้สหายยืนเกาหัวจนทหารที่ยืนอยู่มิไกลเอ่ยขึ้นเพื่อเตือนสติ
“ใต้เท้าท่านอ๋องไปไกลแล้วนะขอรับ” เสียงขององครักษ์ในหน่วยเอ่ยขึ้นทำให้ห้าวเฉิงรีบขึ้นม้าควบตามผู้เป็นนายทันที จนทั้งหมดเดินทางมาถึงเมืองหลวงในอีกหนึ่งวันต่อมา ซือหรานตั้งใจจะตามผู้ที่ตนสงสัยให้ทัน แต่ร่องรอยก็หายไปราวกับว่ามิเคยมีคนเดินทางมาก่อนหน้า
นั่นเป็นเพราะลี่ถิงหลบอยู่ที่เชิงเขา เพื่อให้กลุ่มของท่านอ๋องผ่านไปก่อน นางรู้ว่าอ๋องซือหรานเริ่มสงสัย จึงมิต้องการเป็นจุดสนใจ
“นายน้อยไยถึงมาหลบอยู่ที่นี่ขอรับ หรือว่าเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืน” ต้าถังถามในสิ่งที่คิด ก่อนจะยื่นมันเผาส่งให้
“เกลียดพวกพี่สองคนจริง รู้ทันข้าไปหมดทุกอย่าง” เสียงหวานเอ่ยขึ้น พร้อมกับแกะมันเผาที่กำลังร้อน เพื่อระบายอุณหภูมิที่ทำให้มิสามารถกินได้
“เราติดตามนายน้อยมาเป็นสิบปี จะไม่รู้ได้อย่างไรเจ้าคะว่าท่านทำสิ่งใดบ้าง” ม่านชิงเอ่ยก่อนจะส่งน้ำให้ผู้เป็นนาย ยามนี้ทั้งสามพักรอเวลาเดินทางอีกครั้ง
จนกระทั่งคิดว่ากลุ่มของอ๋องซือหรานกลับเข้าเมืองแล้ว จึงเดินทางต่อไปยังเรือนริมน้ำนอกเมือง ด้านซือหรานเมื่อเดินทางกลับถึงเมืองหลวง ก็นำสมุนไพรส่งเข้าวังทันที เพราะต้องรีบใช้เป็นการด่วน เพื่อรักษาอาการป่วยเรื้อรังของไทเฮาที่ยังคงมิสามารถลุกออกจากเตียงได้มาเกือบปีแล้ว
“กลับมาแล้วหรือซือหราน การเดินทางเป็นเช่นไรบ้าง” ฮ่องเต้เอ่ยถามอนุชาตน ซึ่งยามนี้มีรัชทายาทหลงจื่อยืนอยู่ในห้องด้วย เขายิ้มให้ผู้เป็นอาที่มีอายุห่างกันเพียงหกปี
“ขออภัยที่มาช้าพะย่ะค่ะ พอไปถึงหุบเขาก็มีกลุ่มคนใช้หมอกพิษทำร้ายพวกกระหม่อม โชคดีที่มียอดฝีมือเข้ามาช่วย แต่ก็มิรู้ว่าเป็นผู้ใด” ซือหรานเอ่ยกับพระเชษฐาและหลานชาย ซึ่งทั้งสองดูเหมือนจะสนใจเป็นอย่างมาก
“นับว่าเป็นเรื่องที่ดี เจ้าไปพักเถอะเดินทางมาเหนื่อยๆ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นซือหรานจึงขอตัวกลับจวน เพราะรู้สึกเหนื่อยล้ากับการเดินทางที่เร่งรีบ และร่างกายที่ยังอ่อนเพลียจากการได้รับพิษ
“เสด็จพ่อประทานโสมให้เสด็จอาเอาไปบำรุงหน่อยก็น่าจะดีนะพะย่ะค่ะ ดูสีหน้ามิสดใสเลย”
“นั่นสิ กงกงจัดการให้ข้าที” ฮ่องเต้เอ่ยสั่ง หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาได้ห้าวันแล้ว ทุกอย่างยังคงเงียบสงบ ลี่ถิงก็ยังเที่ยวเตร่ในเมืองหลวง และมักไปหอชมจันทร์ของสหายที่คบหากันมาตั้งแต่ลงจากเขาเมื่อสองปีก่อน
แม้จะถูกมองว่าเป็นสตรีขี้เมา แต่นางก็หาได้ใส่ใจ เพราะยามนี้มิเกี่ยวข้องกับสกุลจางแล้ว อีกทั้งผู้คนก็มิค่อยรู้ว่านางเป็นใครมาจากที่ใด นอกจากคนสนิทและพี่สาวที่ยามนี้เข้าไปเป็นพระสนมของฮ่องเต้แล้ว ลี่ถิงจึงใช้ชีวิตตามใจตน เพราะบิดาเองก็มิอาจออกคำสั่งให้นางอยู่ในกรอบได้
“ไยวันนี้เจ้ามาได้ มิไปเข้าเฝ้าพระสนมหรือ” ซางเจิ้นเอ่ยถามสหายตัวน้อยซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่าง เขามิเคยเห็นนางเป็นสหายหรอก แต่คนตัวเล็กตรงหน้ามักจะเอ่ยดักทางทุกครายามที่เขาจะสารภาพความรู้สึก เลยทำให้ความสัมพันธ์หยุดลงแค่นี้ เพราะมิเช่นนั้นแม้แต่หน้าลี่ถิงก็จะไม่มาให้เห็น เขาจึงยอมเผื่อสักวันนางอาจเปลี่ยนใจ
“ข้ามิชอบเข้าวังเจ้าก็รู้ กฎเกณฑ์มากมายเพียงนั้น มิรู้อยู่กันไปได้เช่นไร” เสียงเบื่อหน่ายดังขึ้น ก่อนจะยกจอกขึ้นดื่ม ยามนี้แม้ดื่มสุราหลายไหนางก็มิเมาง่ายๆ เพราะแอบดื่มมาตั้งแต่อายุสิบสามแล้ว ถึงตอนนี้ก็สิบแปดนางจึงคอแข็งพอดู สหายทั้งสามที่มักร่วมดื่มกินจึงรู้ดี
“ข้าเห็นแต่สตรีทั่วเมืองหลวง อยากเข้าวัง คงมีแต่เจ้ากระมังลี่ถิง ที่ทำตัวแปลกแยกเช่นนี้” สหายอีกคนเอ่ย
“หึ! ก็ข้าเป็นสตรีที่ต่างจากผู้อื่นอย่างไรล่ะ” เสียงหวานเอ่ยตอบก่อนจะหัวเราะออกมา ยามนี้กำลังมีสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่ เขามองสตรีตัวน้อยที่แต่งกายด้วยชุดบุรุษพร้อมกับยิ้มพอใจ นางดูไร้เดียงสามิมีพิษภัย ทำให้เขาอยากทำความรู้จักเสียเหลือเกิน
“เจ้าหายไปที่ใดมา รู้หรือไม่ว่าข้ามารอเจ้าทุกวัน” คำถามที่อยู่ในใจมิได้เอื้อนเอ่ยออกมาให้ใครได้ยิน เพราะฐานะเขายามนี้หากถูกเปิดเผยต่อหน้าผู้คนคงมิดีนัก
เขาตามเฝ้าดูร่างเล็กนี้ไปทุกแห่ง จนกระทั่งนางหายไปอย่างไร้ร่องรอย จึงจำต้องกลับไปยังที่ของตนตามเดิม ลี่ถิงลอบมองกลุ่มคนที่มีบุรุษรูปงามปะปนอยู่ด้วย ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เห้อ! อุตส่าห์มิมาตั้งหลายวัน ยังจะมาเจออีกจนได้ อะไรจะเสน่ห์แรงขนาดนี้นะเรา ถึงอนาคตจะต้องแต่งงานมีสามีก็เถอะ แต่ชะตาของลี่ถิงจะมีใครรับได้กันล่ะ ที่แน่ๆ ก็ครอบครัวของคนคนนั้นแหละ ที่จะเฉดหัวเราออกจากบ้าน ไม่มีใครรับสตรีต้องสาปได้หรอก” ร่างเล็กบนหลังคายามนี้นอนมองจันทราที่อีกมิกี่วันก็จะเต็มดวง
เพราะกำลังจะมีเทศกาลงานโคมไฟที่จัดขึ้นทุกปี ที่นางกลับเมืองหลวงก็เพราะการนี้ด้วยเป็นสำคัญ แม้ในร่างจะเป็นบุรุษ แต่เพราะอาศัยอยู่นานแล้วตงลี่จึงเริ่มมีนิสัยของสตรีบ้าง บางคราก็มักสนใจบุรุษรูปงามตามธรรมชาติของหญิงสาว จนบางทีก็สับสนกับตนเองมิน้อย
แต่เพราะคิดว่าอย่างไรเสียหากอยู่ในร่างนี้นางก็ต้องมีสามีจนได้สักวัน จึงพยายามศึกษาการใช้ชีวิตของสตรี จนนางมิต่างจากผู้อื่น ยกเว้นเรื่องเดียวคือการดื่มสุราเท่านั้น แม้สตรีทุกนางจะดื่มเป็นก็เถอะ แต่ลี่ถิงเรียกว่าเก่งกาจมิแพ้ชายใดในแผ่นดินเลยก็ว่าได้
“กลับเรือนดีกว่า เอาไว้ข้าจะหาสามีดีดีให้เจ้าก็แล้วกันนะลี่ถิง เอ๋! แต่ว่าตอนนี้ก็เป็นเรานี่หว่า ชักอยากรู้แล้วสิว่ายามที่ส่วนนี้ มีของบุรุษเข้ามาจะรู้สึกเช่นไร” จู่ๆ คนในร่างก็เอ่ยสิ่งที่ทำให้ตนนั้นขนลุกขึ้นมา ก่อนจะส่ายหัวพาตนเองกลับเรือนเพราะเริ่มจะฟุ้งซ่านเต็มที
อีกด้านทางฝั่งจวนอ๋องซือหราน ยามนี้เขากำลังนึกถึงร่างเล็กของคนที่เข้ามาช่วยตนเมื่อหลายวันก่อน และสตรีตัวน้อยที่แต่งกายเช่นบุรุษนั่นอีก แต่คิดเท่าใดก็มิอาจหาคำตอบให้ตนเองได้ จึงจำต้องข่มตาหลับไปทั้งอย่างนั้น จนกระทั่งสายของอีกวัน
“ท่านอ๋องจะเสด็จไปล่าสัตว์หรือไม่พะย่ะค่ะ” ห้าวเฉิงเอ่ยถามหลังจากผู้เป็นนายล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ยกผ้าขึ้นเช็ดใบหน้าของตนจนแห้งสนิท ก่อนจะโบกมือไล่นางกำนัลที่เข้ามาดูแลให้ออกไป
“คนของเรายังตามสืบกลุ่มที่ลอบสังหารข้าอยู่หรือไม่”
“พะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่าจะเป็นคนในราชสำนักที่สั่งการ กระหม่อมคาดว่าคงมิพ้นคหบดีหรุ่ยเป็นแน่” หยางเหอเอ่ยรายงานที่พอจะสืบได้ ซือหรานเดินมานั่งก่อนห้าวเฉิงจะรินชาให้ เขาเพียงแต่พยักหน้ารับ ก่อนจะตอบคำถามของคนสนิทที่เอ่ยก่อนหน้านั้น
“ไปเตรียมม้าเถอะ กินเสร็จข้าจะตามเสด็จฝ่าบาท”
“วันนี้เห็นว่ารัชทายาทจะเสด็จไปด้วย ก่อนนี้แทบทุกวันทรงเสด็จออกจากวัง กระหม่อมเกรงว่าฝ่ายนั้นจะสืบรู้เช่นกันพะย่ะค่ะ” หยางเหอเอ่ยบอกผู้เป็นนาย ทำให้อ๋อง ซือหรานชะงักไปเมื่อรู้ข่าวเช่นนี้
“ปกติหลงจื่อจะไม่เถลไถลเช่นนี้ ไยถึงแอบหนีออกนอกวัง ไปสืบมาว่ารัชทายาทไปที่ใด จัดหาองครักษ์เพิ่มขึ้นอีก ที่สำคัญอย่าให้ฝ่ายในรู้เรื่องนี้”
ซือหรานเอ่ยด้วยความเป็นห่วง เพราะตั้งแต่หลงจื่อถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท ก็ถูกลอบสังหารบ่อยครั้ง แม้จะพยายามสืบหาตัวผู้บงการแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะวางแผนแยบยลจนเขามิอาจพบเบาะแสได้ จึงจำต้องคอยสั่งคนอารักขาเพื่อความปลอดภัยของรัชทายาทผู้นี้แทน
หลังจากวันนั้นก็ถึงงานเทศกาลโคมไฟที่ชาวเมืองต่างก็รอคอย การละเล่นมากมายถูกนำมาแสดง การร่ายรำบนเวทีถูกจัดขึ้นมิไกลจากเวทีงิ้วคณะใหญ่ของเมือง ผู้คนมากมายเนืองแน่นเพราะมาจากทุกสารทิศ ทุกคนต่างก็สนุกสนานกับการละเล่นมากมายตรงหน้า โดยมิรู้ว่าเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นที่ตรอกแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังมีคนบาดเจ็บถูกนำตัวกลับเข้าวังเพราะเกิดการลอบสังหารขึ้น
“ท่านอ๋อง รัชทายาทถูกลอบสังหารพะย่ะค่ะ ยามนี้ได้รับพิษร้ายต้องใช้ยาถอนโดยเร็ว” หยางเหอตรงเข้ามารายงาน ผู้ที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ ร่างสูงลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะจับเอากระบี่ของตนออกมาด้วย
“ยามนี้รัชทายาทเป็นเช่นไร” เขาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ซึ่งคนสนิทก็ตอบได้มิมากนัก
“กระหม่อมก็ยังมิรู้ได้พะย่ะค่ะ พอบาดเจ็บรัชทายาทก็ถูกส่งเข้าวังทันที กระหม่อมก็รีบมารายงาน รู้แค่ว่าอาวุธนั้นเคลือบยาพิษเอาไว้ด้วย จะร้ายแรงเพียงใดมิรู้ได้” ซือหรานขบกรามแน่นก่อนจะควบม้าออกตามล่ากลุ่มมือสังหารซึ่งมีคนของเขาติดตามไปก่อนแล้ว คอยทิ้งสัญญาณไว้ให้ตลอดทาง