10. มิได้ห่วง แค่กลัวมิได้ยา
ซือหรานเดินลัดเลาะไปตามเชิงผาอยู่สักพักก็พบเข้ากับหยางเหอ ที่นั่งแหงนมองอะไรบางอย่างอยู่ด้านล่าง และดูเหมือนองครักษ์หนุ่มจะบาดเจ็บจนขยับไม่ได้ แสงไฟทำให้หยางเหอรีบหันมาทันที
"เจ้ามานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ แล้วลี่ถิงล่ะ?"
"ท่านอ๋องในที่สุดท่านก็มาเสียที ตอนนี้ท่านหมอปีนขึ้นไปบนผานั่นพะยะค่ะ"
"ปีนขึ้นไปเช่นนั้นหรือ เหตุใดจึงไม่คิดจะรอข้า" เมื่อรู้ว่าอีกคนอยู่ที่ใด ซือหรานก็ใช้วิชาตัวเบาปีนป่ายขึ้นไปอย่างรวดเร็ว จนพบกับอีกคนที่เกาะกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาอยู่ เขาหมายจะร้องเรียกนาง แต่ลี่ถิงกลับพลิกตัวหมุนมาหาพร้อมกับเอามือปิดปากอีกฝ่ายไว้
ตอนนี้จึงกลายเป็นว่าลี่ถิงอยู่ในอ้อมกอดของซือหราน ที่ใช้เพียงมือเดียวเกาะลากไม้เอาไว้ กลิ่นกายสตรีแรกแย้มจึงโชยมาเข้าจมูกอ๋องหนุ่ม จนเขาลอบยิ้มออกมาอย่างพอใจ เสียงกระซิบแผ่วเบาเปร่งออกมาที่ข้างหู
"อย่าเสียงดังเพคะ สมุนไพรต้นนี้กำลังออกมารับไอจากแสงจันทร์ หากเราทำมันตกใจก่อนที่จะเด็ดดอกออกมาได้ เราต้องรอไปจนกว่าจะถึงพระจันทร์ขึ้นคราวหน้าเป็นแน่ เงียบๆ เพคะ”
ซือหรานหายใจหอบถี่จนลี่ถิงต้องเอียงคอมอง ใบหน้าของเขาที่มันอยู่ใกล้กันเหลือเกิน นางจึงรีบหันกลับไปหาต้นสมุนไพรทันที ซือหรานยกยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยให้คนตัวเล็กกลับไปเด็ดสมุนไพรที่ผลิดอกออกมาเป็นที่เรียบร้อย
"ได้แล้วเพคะ"รอยยิ้มแห่งความดีใจเกิดขึ้นทันที ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมากระทบหน้าทั้งคู่ ลมเย็นๆ ที่พัดมาบนหน้าผา มิได้ทำให้หนุ่มสาวรู้สึกเหน็บหนาวแม้แต่น้อย แต่มันกลับทำให้ร่างกายทั้งคู่ร้อนระอุจนเหงื่อออกมากกว่า โดยเฉพาะซือหรานที่ต้องดึงสติตนเองให้เร็ว
"เช่นนั้นก็ลงไปเถอะ" เขาเอ่ยบอกในทันทีเมื่อนึกได้ แขนแกร่งยื่นออกมากอดเอวลี่ถิงไว้แน่นก่อนจะเหาะลงมาด้านล่าง แต่กลับพบกับกลุ่มคนที่ยืนขนาบข้างคนของตนอยู่ ซือหรานดันคนตัวเล็กให้ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะชักดาบออกมาเพื่อต่อสู้กับกลุ่มคนที่มีมากกว่ายี่สิบ
"หากมีโอกาสให้เจ้ารีบวิ่งไปทางตะวันตก คนของข้ารออยู่ที่นั่น" ซือหรานเอ่ยบอกคนตัวเล็ก ทำให้ลี่ถิงอดยิ้มออกมามิได้ แต่สายตายังคงจับจ้องไปที่กลุ่มคนชุดดำ ในมือที่ถือสมุนไพรอยู่ก็ซุกเข้าไปในชายเสื้อ เพื่อเก็บของสำคัญชิ้นนี้
"ส่งคนที่อยู่ด้านหลังเจ้ามา แล้วพวกข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป" เสียงดุดันออกคำสั่งทันทีเมื่อเห็นคนที่ตนต้องการ ซือหรานอดแปลกใจมิได้ว่าเหตุใดคนกลุ่มนี้ถึงอยากได้ตัวลี่ถิงนัก แทนที่จะเป็นการขัดขวางตน
"คนกลุ่มนี้ไม่ได้อยากขัดขวางพวกเราหรอกหรือ เหตุใดจึงเอ่ยถึงเพียงแค่เจ้าเท่านั้น เจ้าเคยมีศัตรูที่ใดหรือไม่" ซือหรานเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยทันที
"คนที่อยู่เบื้องหลังมิใช่ศัตรูหรอกเพคะ แต่เป็นองค์ชายจากแคว้นชูเหลียงที่ต้องการหม่อมฉันไปเป็นสนม คงทราบข่าวที่หม่อมฉันเข้าวัง คงเกรงว่าจะมีใครรับหม่อมฉันตัดหน้าไปกระมัง เห็นทีต้องเอ่ยบอกให้เข้าใจ จะได้มิต้องเข่นฆ่ากันให้เจ็บตัว”
“หึ! มิต้องเอ่ยสิ่งใด คนแค่นี้ข้าจัดการได้” ซือหรานหันมาเอ่ยถ้อยคำแต่มันเป็นคำสั่งมากกว่าในความคิดของลี่ถิง แต่ยังมิทันได้เอ่ยสิ่งใดต่อกลุ่มคนเหล่านี้ก็ชักดาบออกมา ตรงเข้าต่อสู้กับซือหรานโดยไม่ทันตั้งตัว อ๋องหนุ่มต่อสู้รับดาบจากคนชุดดำอย่างชำนาญ
ลี่ถิงหยิบกิ่งไม้ที่วางอยู่มิไกลนักขึ้นมาเพื่อช่วยอีกคนต่อสู้ เพราะดูท่าคงเป็นเรื่องยากที่จะกำจัดคนกลุ่มนี้ได้หมด เพราะอ๋องซือหรานนั้นดูอ่อนเพลียมากจนน่าเป็นห่วงในยามนี้ กลุ่มคนชุดดำเมื่อเห็นผู้ที่ตนต้องมาจับหยิบอาวุธ ก็ตรงเข้ามาหาหวังจะพาตัวไปส่งให้นายของตน แต่เพราะไม่กล้าทำให้นางบาดเจ็บ จึงมิอาจต่อสู้ได้เต็มที่ ต่างจากท่อนไม้ยาวในมือของลี่ถิง ซึ่งฟาดลงที่คนชุดดำไม่ยั้ง
"ถอยก่อน! คราหน้าเจ้าไม่มีทางรอดเงื้อมมือข้าหรอก" คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าคนชุดดำ ออกคำสั่งทันทีเมื่อเห็นว่าคนของตนบาดเจ็บเพราะสตรีคนเดียว ลี่ถิงทิ้งไม้ก่อนจะเดินไปแก้มัดให้กับองครักษ์ทั้งสอง จนลืมดูอีกคนที่ได้รับบาดเจ็บที่ช่วงอกเพราะเอาตัวรับดาบแทนนาง
"ท่านอ๋องบาดเจ็บ เจ้ารีบไปดูท่านอ๋องเถอะ" ห้าวเฉิงรีบเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันไปแก้มัดหยางเหอ ลี่ถิงรีบตรงไปประคองคนที่บาดเจ็บทันที มือเรียวสอดเข้าเพื่อตรวจดูบาดแผล ทำให้ซือหรานอดที่จะใจเต้นแรงกับสัมผัสจากมือนุ่มไม่ได้
"ข้าไม่เป็นไร รีบลงจากเขาเถอะหากคนพวกนั้นย้อนกลับมาคงไม่ดีนัก" ซือหรานเอ่ยขึ้นก่อนที่ทั้งหมด จะพากันเดินมุ่งหน้าตรงไปหาองครักษ์ที่รออยู่ แต่เพราะความมืดและเหนื่อยล้า จึงทำให้เหล่าองครักษ์หลับไหลกัน จนกระทั่งผู้เป็นนายมาถึง
"ตื่นได้แล้ว เหตุใดจึงหลับเป็นตายกันเช่นนี้ หากในป่ามีเสือคงคาบพวกเจ้าไปกินจนหมดแล้วเป็นแน่" ทุกคนต่างก็ตกใจกับเสียงของห้าวเฉิง ก่อนที่จะรีบดับไฟแล้วลงจากเขากัน กว่าจะลงมาได้ก็ปาเข้าไปค่อนคืนแล้ว เมื่อลงมาแล้วก็ออกเดินทางกลับเข้าเมือง เพื่อหาที่พักทันที
"ไหวหรือไม่พะย่ะค่ะท่านอ๋อง” หยางเหออดเป็นห่วงผู้เป็นนายไม่ได้ แม้ตนเองจะบาดเจ็บจากการตกผาก็ตาม ลี่ถิงเพียงแค่เหลือบตามองเพียงเล็กน้อย
เพราะเท่าที่สัมผัสบาดแผลแล้วนั้น ไม่ได้ร้ายแรงอะไร จนน่าเป็นห่วง เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมในเมืองสิบลี้ ทุกคนก็จัดการหาห้องพัก แต่เพราะห้องพักนั้นมีไม่เพียงพอกับผู้ที่มา จึงทำให้เหล่าองครักษ์ต้องนอนรวมกันซะส่วนมาก
"เช่นนั้นหม่อมฉันนอนห้องเดียวกับ พี่หยางเหอและพี่ห้าวเฉิงก็ได้เพคะ" เพราะมิได้คิดมากอันใดลี่ถิงจึงเอ่ย
"ไม่ได้! เจ้ายังต้องดูแลบาดแผลให้ข้า นอนห้องเดียวกับข้านี่แหละ" ซือหรานหงุดหงิดทันทีเมื่อได้ยินคนตัวเล็กเอ่ยเช่นนี้ จึงรีบบอกเสียงดังเป็นคำสั่งออกมา จนองครักษ์ทั้งสองต่างก็ตกใจ ยิ้มเล็กผุดขึ้นที่ริมฝีปากอิ่ม ก่อนจะหันไปใส่ยาให้หยางเหอ องครักษ์ทั้งสองจึงออกจากห้องไป ลี่ถิงเลยหันมาหาคนที่นั่งอยู่บนเตียง
"หม่อมฉันจะใส่ยาให้นะเพคะ" นิ้วเรียวปลดเสื้อคลุมของอ๋องซือหรานออก ตามด้วยเสื้อตัวในเผยให้เห็นรอยแผลเป็น และมัดกล้ามที่น่าหลงใหล
ใจดวงน้อยเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้จะเคยเห็นมานักต่อนักแล้วก็เถอะยามที่อยู่บนเขา นิ้วเรียวค่อยๆ เช็ดทำความสะอาดบาดแผลก่อนจะใส่ยาให้ พร้อมกับพันผ้าปิดให้อย่างเบามือ ซือหรานมองใบหน้าหวานที่อยู่ใกล้มาก จนได้ยินเสียงลมหายใจ ยามริมฝีปากอิ่มขยับไปมา และบางครั้งนางก็กัดริมฝีปากไว้ราวกับว่ากำลังสกัดกั้นบางสิ่งในใจอยู่
"อย่ากัดปาก" ไวเท่าความคิดก็คำพูดเขานี่แหละ จู่ๆ ซือหรานเอ่ยบอกออกมา พร้อมกับนิ้วมือกดลงที่ริมฝีปากอิ่ม เพื่อให้อีกคนเลิกกัดมันเสียที
"อ่ะ หม่อมฉันรู้แล้ว” เพราะตกใจในการกระทำของอีกฝ่าย จึงส่งเสียงท้วงทันทีพร้อมกับเบี่ยงหน้าหนี ส่วนซือหรานก็เพียงแต่ยิ้มเล็กน้อย หากแต่สายตาก็ยังคงจ้องมองไม่ลดละ จนลี่ถิงใส่เสื้อให้ดังเดิม ทั้งคู่จึงได้ผละออกจากกัน ก่อนซือหรานจะนึกขึ้นได้เกี่ยวกับเรื่องบนเขา
"ที่เจ้าเอ่ยถึงองค์ชายแคว้นชูเหลียง เจ้ารู้จักคนผู้นั้นได้อย่างไร หรือเคยเจอกันมาก่อนงั้นหรือ"
"เรื่องนี้เป็นปัญหาของหม่อมฉัน คงไม่รบกวนท่านอ๋องให้ต้องกังวลหรอกเพคะ ดึกมากแล้วนอนเถอะ ได้สมุนไพรมาแล้วพรุ่งนี้เราจะได้รีบเดินทางกลับ"
ซือหรานขบกรามแน่น แต่เพราะทำอะไรไม่ได้จึงจำต้องเงียบ ก่อนที่ลี่ถิงจะแยกตัวไปนอนบนพื้นตามฐานะของตน ทำเอาซือหรานหน้าชามิน้อยเพราะคิดว่านางจะขอนอนบนเตียงด้วย จากนั้นก็มิมีใครเอ่ยสิ่งใด จวบจนรุ่งสางลี่ถิงก็ตื่น แต่กลับพบว่าตนขึ้นมานอนอยู่บนเตียง ซ้ำยังถูกแขนแกร่งกอดรัดเอาไว้อีก
"ท่านอ๋องปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ เหตุใดถึงได้ทำเช่นนี้ ไหนบอกว่ามิมีทางยุ่งเกี่ยวกับสตรีเช่นข้าไงล่ะ" ลี่ถิงแห้วใส่อีกฝ่ายทันที เพราะดูท่าเขามิยอมปล่อยดีดีเป็นแน่
"ข้าทำอะไร เจ้าปีนขึ้นมานอนกับข้าเองนะ" ซือหรานตอบหน้าตาย มิหนำซ้ำยังพลิกตัวขึ้นคร่อมคนตัวเล็กเอาไว้อีก ทำเอาใบหน้าหวานยามนี้เห่อร้อนจนแดงระเรื่อ ทั้งที่ยามนี้อากาศเย็นสบายเสียด้วยซ้ำ
“ลุกออกไปนะท่านจะทำอะไร!” นางเอ่ยถามเสียงสั่น เพราะยามนี้อยู่ในท่วงท่าล่อแหลมเกินไป ผู้ใดมาพบเข้าคงถูกครหาเป็นแน่ แม้ว่านางจะมักทำตัวให้ถูกครหาก็เถอะ แต่พอเป็นกับคนตัวโตนี่นางก็อดหวั่นมิได้
“เจ้าเองที่ปีนขึ้นมา อยากให้ข้าทำอยู่แล้วมิใช่หรือ” ซือหรานเอ่ยเยาะ ทั้งที่ตนนั้นแหละอุ้มนางขึ้นมานอนด้วย แต่กลับโยนความผิดให้เสียอย่างนั้น
“ข้ามิเคยนอนละเมอ และยิ่งเป็นไปมิได้ที่จะเข้าหาคนที่หยามเหยียดข้าทุกคราเช่นท่าน ปล่อยข้า! อย่าลืมว่าพระองค์เคยตรัสว่าเช่นไร เพราะข้ายังจำได้ดี” ทุกถ้อยคำที่คนตัวเล็กเอ่ยออกมา ทำเอาหรานจินชะงักงัน เพราะล้วนแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น มือแกร่งที่กุมแขนเล็กไว้เหนือหัว
ผละออกก่อนจะพลิกตัวมานอนเช่นเดิม มิมีเสียงใดเกิดขึ้นอีกหลังจากนั้น ร่างเล็กลุกขึ้นนั่งปาดน้ำตาที่มันไหลลงเพราะน้อยเนื้อต่ำใจ แค่เกิดมาอาภัพถูกขับออกจากจวนยังมิพอ เจอบุรุษคนใดก็มักจะย่ำยีหาเศษหาเลยด้วยตลอด มิหนำซ้ำยังมีเรื่องที่มนุษย์ทั่วไปมิอาจเชื่อได้เกี่ยวกับตัวตนนี้อีก
“ขอโทษ!” เสียงทุ้มของผู้ที่นอนอยู่เอ่ยขึ้น แต่น้ำเสียงฟังดูแล้วเหมือนมิได้มีความจริงใจเลยสักนิด
“มิเต็มใจก็อย่าเอ่ยอ๋องซือหราน” ลี่ถิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมิพอใจอย่างเห็นได้ชัด จนซือหรานสัมผัสได้ในทันที นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวหม่นลง นางรีบลงจากเตียงเดินออกไปล้างหน้า มินานก็ออกมารอด้านล่าง ซือหรานครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานจนคนสนิทเข้ามาตาม จึงจัดการธุระส่วนตัวของตนให้แล้วเสร็จ อาหารถูกยกมาเตรียมพร้อมแล้ว แต่กลับมิเห็นคนตัวเล็กมาทาน
“คุณหนูจางทานแล้วพะย่ะค่ะ ยามนี้นางออกไปรอข้างนอก” หยางเหอรายงาน เพราะมิรู้ว่าเกิดเรื่องใดกับทั้งสองเป็นแน่ ถึงได้ทำหน้ากันเช่นนี้
"ออกเดินทางกันได้แล้ว" ซือหรานออกคำสั่งทันที โดยมิใส่ใจอาหารตรงหน้าเลยสักนิด เมื่อคนของตนมากันครบเขาก็นำออกเดินทางกลับเมืองหลวงทันที ตลอดทางแต่ทั้งคู่ก็มิได้พูดคุยกันเลย จนใกล้ถึงเมืองในอีกหนึ่งชั่วยามข้างหน้า ก็ดันถูกลอบโจมตีเสียก่อน