ตอนที่14ยินยอม
คล้อยหลังเรือนกายสูงค่าของรุ่ยอ๋อง
รอบบริเวณยังคงเต็มไปด้วยทหารร่างบึกบึนสูงใหญ่ พวกเขายืนถมึงทึงถืออาวุธพร้อมฆ่าฟัน ประกายตาทุกคนเจือแววอำมหิตข้นคลั่ก แต่ละคนยืนหยัดประดุจเหล็กกล้าศิลาแกร่ง ห้อมล้อมคนร้ายมิให้หลุดรอดไปได้สักคน
ท่ามกลางบรรยากาศดำทะมึนยิ่งกว่ายามราตรีกาลนั้น ลี่เซียนถูกผลักไหล่ให้เดินมาจนถึงกลุ่มคนร้ายซึ่งถูกมัดไว้ไม่ต่างจากขนมบ๊ะจ่าง ทันทีที่หญิงสาวเห็นคนเหล่านั้นพลันจำได้
พวกเขาคือกลุ่มคนที่รุมทำร้ายผู้มีพระคุณ
“ไป! รีบเดิน!” ทหารที่คุมตัวลี่เซียนอยู่ทางด้านหลังรีบผลักนางให้ไปรวมกลุ่มกับคนร้าย ก่อนหันหน้าไปกล่าวรายงานแก่รองแม่ทัพท่านหนึ่ง
“เรียนท่านรองแม่ทัพ นางคือลี่เซียน สตรีที่ทำร้ายทหารของเราจนสลบเพื่อเปิดทางให้นักฆ่าขอรับ”
“ดี! มัดนางไว้”
สิ้นคำสั่งของรองแม่ทัพวัยฉกรรจ์ พลทหารคนเดิมรีบกระชากมือของลี่เซียนไพล่หลังมัดอย่างว่องไว ไร้ความปราณีใดๆ
หญิงสาวยังคงอ่อนแรงหมดกำลังจึงทำได้แค่ขมวดคิ้ว
ไม่ช้า นางพลันถูกพันธนาการไม่ต่างจากนักฆ่าก่อนหน้า จังหวะเดียวกันยังถูกมือหนาผลักจนล้มไปกองกับพื้น
“อ๊ะ!”
ทว่าสิ่งที่ร่างนุ่มกระแทกใส่ หาใช่พื้นดินที่แข็งกระด้างไม่
ตรงกันข้ามกลับเป็นร่างบุรุษเย็นชืด
ทันทีที่เห็นถึงได้รู้ว่ามันคือซากศพ ลี่เซียนหาได้กลัวเกรง ทว่ากลับรู้สึกตระหนกไม่น้อย พลันนั้นหญิงสาวถึงได้ตระหนักว่าเหตุใดคนพวกนี้ถึงอยู่ในสภาพย่ำแย่
ลี่เซียนย้อนคิดถึงก่อนหน้านี้ที่ห้องอาบน้ำ ทันทีที่โทสะครอบงำ นางปลดปล่อยปราณสังหารออกมาเยี่ยงคนขาดสติ ยามนั้นเจ็บจนไม่คิดอันใดจึงลอยวูบหายตัวไป ทว่ากลับทิ้งเอาไว้เพียงกลุ่มผู้ร้ายที่ถูกพลังทำลายล้าง
ร่างของพวกเขาต่างปลิดปลิวกระแทกกันเอง บางคนคงกระแทกกำแพงห้องจนกระอักเลือดกระดูกหักไปหลายท่อน สังเกตจากศพที่นางล้มทับ ร่างกายของเขาบิดเบี้ยวเสียรูปยิ่งนัก
ท่ามกลางซากศพตายเกลื่อน ใกล้กับตำแหน่งที่ลี่เซียนล้มลงคือร่างอ่อนระโหยโรยแรงของซวงอี๋
เนื้อตัวนางแดงฉานเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดรินไหล ลมหายใจยังรวยรินสะดุดขาดห้วงเป็นระยะ
ซวงอี๋จ้องมองลี่เซียนด้วยสองตาแดงก่ำ เลือดกบปาก พลางสบถอย่างแค้นเคืองดังลั่น
“เพราะเจ้า นางมารชั่ว! ต้าเจิงของข้าจึงต้องตาย”
วาจาร้ายกาจเช่นนั้นเซียนน้อยผู้หนึ่งซึ่งไม่เคยทำร้ายใคร จิตใจหรือก็แสนดี ไหนเลยเคยได้ฟัง
นางจึงเบิกตากว้าง มองซากศพทั้งหลายอย่างตื่นลน
“ข้า...” กลีบปากจิ้มลิ้มขยับอึกอัก “ข้ามิได้ตั้งใจ”
ซวงอี๋ได้ยินเช่นนั้นพลันถ่มน้ำลายที่เต็มไปด้วยโลหิตลงพื้นดิน ก่อนด่าทอต่ออย่างหยาบคาย
“ถุย! บัดซบ! ไม่ได้ตั้งใจรึ? หึ! นางสารเลวจิตใจอำมหิต เจ้ากล้าแฝงตัวมาตลบหลัง ต่อให้ข้าเป็นผีก็ไม่ละเว้นเจ้า”
โหดร้ายมาก วาจาเยี่ยงนี้คมกริบยิ่งกว่าดาบ รุ่ยอ๋องที่ว่าโฉดและโหดหนักหนา ยังมิอาจเทียบได้
ลี่เซียนถึงกับเม้มปากแน่น สำนึกเสียใจเหลือเกิน “ข้า...”
วาจาเดือดดาลและประโยคต่อขาน เหล่าทหารที่ยืนอยู่โดยรอบล้วนได้ยิน พวกเขาจึงมองสองสตรีอย่างพิจารณา
รองแม่ทัพที่สั่งมัดลี่เซียนหันไปถามพลทหารที่ยืนไม่ไกล
“สตรีผู้นี้คือพวกเดียวกับคนร้ายแน่รึ?”
ผู้ถูกถามเริ่มไม่มั่นใจ ขณะกำลังลังเลมิอาจหาคำตอบได้ อี๋เป่าที่เดินตามมาด้วยจึงรีบตอบเสียเอง
“สตรีผู้นี้เป็นท่านอ๋องจับกุมได้ด้วยตนเองขอรับ ทั้งยังให้พำนักในเรือนบัญชาการ ท่านรองแม่ทัพควรยั้งมือก่อนจึงจะดี”
“หือ...” รองแม่ทัพปรายตามองอย่างเย็นชา “จริงรึ?”
ครานี้อี๋เป่ายังไม่ทันได้ตอบ พลทหารคนเดิมเกรงว่าผลงานจะหลุดมือ หนำซ้ำหากผิดพลาดคงยากรับไหว จึงรีบเอ่ย
“แต่เห็นได้ชัดว่าพวกนางรู้จักกัน มิสู้ควบคุมตัวนางไปขังแยกไว้ก่อนเป็นไร? พวกเราอย่าเพิ่งด่วนสรุปเลยขอรับ”
รองแม่ทัพหรี่ตาพยักหน้าเห็นด้วย “ดี! ลากตัวนางผู้นี้ไป” เขาสั่งให้ทหารคนเดิมพาตัวลี่เซียนไปอีกทาง ก่อนเบนสายตากลับมากวาดมองคนร้ายที่เหลือทั้งหมดพร้อมส่งเสียงเหี้ยม
“นอกนั้น ฆ่า!”
ลี่เซียนจึงถูกทหารพาไปทางเรือนที่สร้างด้วยศิลาทึบสีดำ สิ่งที่ตามหลังนางคือเสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงมลั่นค่ายทหาร
เรื่องราวทางโลกย่อมเป็นไปตามกรรม ใครเกิดใครแก่กระทั่งใครตายยิ่งมิอาจห้าม
ทว่าลี่เซียนกลับคิดไปว่าเป็นความผิดของตนเองทั้งหมด
นางจึงยินยอมรับโทษทัณฑ์แต่โดยดีไม่มีขัดขืนอันใด
เรือนพำนักพักฟื้นประจำค่ายทหาร
ภายในห้องกว้างรอบด้านเต็มไปด้วยเตียงและตั่งสำหรับคนเจ็บ เก้าอี้ตัวใหญ่ทางทิศเหนือตรงตำแหน่งประธานของห้องมีร่างสง่าสูงศักดิ์นั่งจิบชาด้วยท่าทางนิ่งสงบ
เบื้องหน้าบุรุษผู้นี้คือกลุ่มทหารยามที่เพิ่งฟื้นตัวจากอาการสลบไสล พวกเขายืนเรียงแถว ประสานมือก้มหน้า เก็บงำความหวาดหวั่นเอาไว้ด้วยสีหน้าราบเรียบ ตามวิสัยเหล่าทหาร
ถังไห่เฉิงยังคงละเลียดชิมชาเนิบช้า กิริยาทั้งสุขุมและเยือกเย็นปานนั้น ทว่าเสียงรายงานจากทหารยามยิ่งทำเรียวคิ้วของอ๋องหนุ่มขมวดมุ่น ดวงหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยเริ่มเผยความเครียดขมึงขึ้นทีละน้อย
“สตรีผู้นั้นเป็นจอมยั่วยวนชวนพิสมัย วาจากล่าวอ้างว่าต้องการปรนนิบัติท่านอ๋อง ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่เคยเรียกหาสตรีใด แต่ในขณะที่กระหม่อมกำลังหลงกลเผลอไผล กระทั่งหลวมตัวยอมรับฟังถ้อยวาจานุ่มหวานละมุนละไมไม่กี่ประโยค ปลายนิ้วยังมิทันได้เชยคางมนด้วยซ้ำ นางก็ปล่อยปราณสังหารวิชามารสำนักใดมิอาจทราบ ทำทุกคนสิ้นสติทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
จบคำรายงานของหัวหน้าทหารยาม บรรยากาศภายในห้องพลันดำทะมึนอึมครึมมืดฟ้ามัวดินปานพายุฤดูร้อนตั้งเค้าพร้อมโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงบ้าคลั่ง โดยที่คนพูดไม่อาจล่วงรู้ว่าต้นเหตุคือประโยค ‘ปลายนิ้วเชยคางมน’ แค่เท่านั้น
พวกเขาเริ่มมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เกิดภาวะลิ้นจุกปากฉับพลัน มิรู้ว่าควรกล่าวต่ออย่างไรดี
หรือว่าบางที คำรายงานอาจไม่ครบถ้วน
เมื่อคิดได้ดังนั้น ทหารยามอีกคนจึงรีบเอ่ย “ทูลท่านอ๋อง นางผู้นั้นยังประสงค์เด่นชัดว่าจงใจเข้าหาพระองค์ด้วยเล่ห์กลมารยาเหนือชั้น แต่เมื่อพวกเราแสดงออกว่ารู้เท่าทัน นางจึงคิดปิดปากพวกเราพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อวาจานี้ถูกเอ่ยออกมา ถังไห่เฉิงจึงแค่นเสียงเย็น “หากนางคิดปิดปากจริง พวกเจ้าย่อมมิได้เปิดปากอันน่ารำคาญถึงเพียงนี้” กล่าวจบพลันลุกขึ้นยืนก่อนสั่งเสียงเรียบไปทางเว่ยฉี “นำตัวทุกคนไปโบยคนละยี่สิบไม้ โทษฐานบกพร่องต่อหน้าที่”
เหล่าทหารยามมิอาจเข้าใจความนัยของนายเหนือหัว เพียงค้อมตัวก้มหน้ายอมรับโทษทัณฑ์ตามวินัย
แม่ทัพเว่ยค้อมศีรษะน้อมรับคำสั่งอย่างแข็งขัน เดินขึ้นหน้าพลางโบกมือส่งสัญญาณให้พลทหารล่าถอยตามเขาไป
คล้อยหลังกลุ่มผู้คน ถังไห่เฉิงหย่อนกายนั่งลงอีกครา ท่าทางเคร่งขรึมดุจเดิม พลางตรึกตรองคำรายงานอันยาวเหยียดเมื่อครู่โดยละเอียด
‘จอมยั่วยวนชวนพิสมัย วาจานุ่มหวานละมุนละไม และจงใจเข้าหาเขาเพื่อปรนนิบัติ’
เรียวคิ้วคมเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยคล้ายกระหยิ่มลำพองใจ หลังนิ่งคิดจากคำรายงานทั้งหมดครู่หนึ่งก็เห็นจะมีเพียงประโยคแค่เท่านี้ที่เห็นว่าเป็นจริง ให้รู้สึกว่าเชื่อถือได้
ภายในห้องปราศจากผู้ใดแล้ว แว่วได้ยินเสียงโบยตีจากลานด้านข้างไม่ห่างจากเรือนแห่งนี้ ถังไห่เฉิงย่อมไม่มีเหตุผลใดต้องรั้งอยู่จึงทำท่าผละจากเพื่อกลับเรือนบัญชาการ
ทว่ายังไม่ทันได้ลุกขึ้นยืน หน้าห้องพลันมีเสียงหนึ่งดังแว่วมา
“อะไรของเจ้า ขวัญกล้าเกินไปแล้ว”
เจ้าของประโยคคือเว่ยฉี
แม่ทัพหนุ่มวัยฉกรรจ์กำลังส่งเสียงเคร่งเครียดสลับกับเสียงของสตรีอีกนาง
“โธ่เอ๋ย! พี่ฉี ลี่เซียนก็แค่สตรีหลงทาง ข้าป้อนข้าวป้อนน้ำให้เองกับมือ นางกินแต่อาหารเจด้วยซ้ำ เนื้อยิ่งไม่แตะต้อง ถือศีลเคร่งครัดปานนั้น จะเป็นคนร้ายได้อย่างไร ข้ามองมุมใดก็มิใช่นะ ท่านช่วยไปทูลท่านอ๋องให้ปล่อยนางเถอะ จับนางมัดแล้วโยนใส่ห้องขังเช่นนั้น ข้าเห็นแล้วปวดใจนัก”
“ยังจะพูดมาก รีบกลับไป!”
“โธ่! พี่ฉี เห็นแก่ที่เย่เสียปรนนิบัติท่าน ไม่เคยคิดเงินนะ”
“เจ้า...”
น้ำเสียงช่วงหลังของเว่ยฉีฟังออกว่าเริ่มคล้อยตามแล้ว เพราะคำว่า ‘ปรนนิบัติไม่คิดเงิน’ คำเดียว
“เฮ้อ!” เสียงถอนหายใจบุรุษราวกับแบกหินผาเอาไว้ ท้ายที่สุดจึงเอ่ยเสียงเข้ม “ก็ได้ๆ”
“ขอบคุณพี่ฉี นี่คือรางวัล”
ไม่นานพลันบังเกิดเงาร่างสองสายที่มีใบหน้าชนกัน จากนั้นยังเอียงซ้ายเอียงขวา มีเสียงเสียดสีของริมฝีปากเบาๆ
ถังไห่เฉิงถึงกับหางคิ้วกระตุก เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม ตรงตำแหน่งประตูที่แง้มอยู่พอดิบพอดี
โทษมิได้ที่หูกับดวงตาของเขาใช้การได้ล้ำเลิศจนเกินไป
‘กินแต่อาหารเจ เนื้อยิ่งไม่แตะต้อง ถือศีลเคร่งครัด’
กระนั้นหรือ?
ความน่าสนใจพลันบังเกิด
ถังไห่เฉิงเห็นแก่คนสนิทที่เคียงบ่าเคียงไหล่ทุกสมรภูมิรบตั้งแต่พวกเขาเป็นแค่เด็กหนุ่มวัยกำดัด จึงมิได้ออกไปขัดจังหวะ เพียงลุกขึ้นยืนแล้วเลือกทะยานกายจากไปอย่างเงียบงัน
บุรุษสูงส่งเป็นถึงรุ่ยอ๋องแห่งต้าถังจำเป็นต้องปีนหน้าต่างเพื่อเปิดทางให้ลูกน้องคนสนิทได้กระทำตามใจไม่ละอายฟ้าดิน
แม้ไม่เข้าใจตนเองเท่าใด ทว่าเวลาแค่ไม่นาน ปลายเท้าของถังไห่เฉิงก็มาหยุดอยู่หน้าเรือนจำแล้ว
ในใจยังสงสัยว่าใครบางคนถูกจับโยนเข้าคุกได้อย่างไร ไฉนนางไม่นอนอยู่ในเรือนบัญชาการ