ตอนที่13สิ่งสำคัญ(มิอาจละเลย)
คล้อยหลังถังไห่เฉิงกับเว่ยฉีที่เดินออกจากเรือนไป
ลี่เซียนซึ่งกำลังนอนอยู่ทางห้องปีกข้างเริ่มสะลึมสะลือ สองมือควานหาความอบอุ่นกรุ่นร้อนแสนสบายเมื่อครู่ไปทั่ว ก่อนที่เรียวคิ้วงามจะขมวดมุ่นเมื่อพบว่าสิ่งนั้นได้หายไปแล้ว
หญิงสาวเม้มปากแน่น ในใจนึกเสียดายไม่น้อย
ถึงแม้ว่าเนื้อหนังจะสมานตัวรวดเร็ว ทว่าก็ใช่ว่าจะหายดี เพราะบางแผลเล็กตื้นไม่สาหัส แต่บางแผลฉกรรจ์ลึกถึงกระดูก
ซ้ำร้ายยังทะลุอวัยวะภายในสำคัญจนเสียหายหลายจุด ชีพจรที่ลมปราณสามารถทะลวงได้สำเร็จเกิดภาวะปิดกั้นชั่วคราว ลี่เซียนจึงยังคงบาดเจ็บอยู่มาก ทรมานสิ้นดี อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมด
นางค่อยๆ ลืมตาดึงสติตนเองให้กลับมาแล้วพยุงกายเปลือยลุกขึ้นนั่ง ระงับอาการบาดเจ็บปวดแปลบทั่วตัวเอาไว้
เมื่อพบว่าเสื้อผ้างดงามของตนถูกถอดกองไว้ไม่ไกล จึงเอื้อมมือไปหยิบมาปัดคราบเปื้อนอย่างทะนุถนอมหวงแหน ก่อนใส่กลับคืนบนร่างงาม ยังไม่ลืมมองหาตำราครวญวสันต์ น้ำมันหอม ตลับขี้ผึ้ง และสิ่งของต่าง ๆ ที่พี่เย่เสียมอบให้
ครั้นมองเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ในใจให้นึกตระหนกไม่เบา
“แย่แล้ว! หายไปไหน?”
หญิงสาวเป็นคนให้ความสำคัญกับน้ำใจคนยิ่งนัก
หาใช่ยึดติดวัตถุนอกกายไม่
นางเกิดและเติบโตมาในอารามผิงอัน แม้ต้องอยู่อย่างสมถะค่อนไปทางอัตคัด แต่ก็มิเคยพึงได้พึงมีเกินตัว ทว่าหากเป็นสิ่งที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้ นางก็พร้อมรักษาไว้เท่าชีวิต
ต่อให้ถูกตราหน้าว่าตระหนี่ถี่เหนียวจิตใจคับแคบก็ยอม
ยามนี้บนเนื้อตัวเหลือแค่ชุดสีชมพู ไม่เหลือกระทั่งเศษตำราหรือกลิ่นน้ำมันหอม แล้วนางจะกล้าเผชิญหน้าพี่เย่เสียหรือ
ลี่เซียนให้รู้สึกละอายใจนัก จึงรีบกระวีกระวาดออกจากห้องพักหมายตามหาสิ่งของสำคัญ ทว่าด้วยร่างกายที่ยังช้ำหนัก จึงไม่ประสงค์ใช้พลังวัตรอีกแล้ว แค่เดินเท้าไปหาเรื่อยๆ ก็พอ ย่อมเจอแน่นอน
หญิงสาวพาร่างอรชรนวยนาดออกจากห้องพักของเรือนบัญชาการ สองเท้าเปลือยเปล่า เรือนผมปล่อยสบายยาวสยายคลี่คลุมล้อมวงหน้า บันดาลให้ทหารยามด้านหน้าเบิกตาโพลง โดยเฉพาะหมอทหารสองนางที่ยังยืนรอตามรับสั่งของรุ่ยอ๋องอยู่หน้าเรือน
ทุกคนลืมไปเสียสนิทว่าคืนนี้เกิดเหตุลอบทำร้าย ความวุ่นวายกำลังอยู่ในช่วงสะสาง ใครไหนเลยจะมีอารมณ์เสพสม
แน่นอนว่าการมีสตรีเดินกรีดกรายออกมาจากเรือนบัญชาการของถังไห่เฉิงย่อมทำผู้คนตกใจ ถึงกับทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยืนมองเงียบเชียบ มิกล้าทักทาย ยิ่งไม่คิดทำความเคารพ เพราะไม่อาจรู้ว่าสถานะของคนงามผู้นี้ที่มีต่อรุ่ยอ๋องคือฐานะใด
มิตรหรือศัตรู ตัวประกันหรือแค่สาวงามอุ่นเตียงเท่านั้น
พวกเขาเห็นเพียงแค่ท่านอ๋องทรงแบกนางเข้าห้องหับด้วยตนเองในสภาพที่ฝ่ายหนึ่งไร้ซึ่งหนทางขัดขืนหรือสมยอม
นั่นจึงทำให้สามารถตีความได้หลากหลาย
หากแต่เมื่อพินิจการแต่งกายของนางแล้ว แม้จะขมุกขมัว ทว่าพลิ้วบางหวามไหวปานนั้น พวกเขาล้วนเข้าใจได้ไม่ยาก
“ที่แท้ก็หญิงคณิกา”
เจ้าของเสียงนี้คือช่านเย่
นางแค่นยิ้มหยัน ในใจนึกดูแคลน
แค่สตรีชั้นต่ำ เมื่อบุรุษได้เสพสุขสมใจ ย่อมขับไล่กลับหอนางโลม มิใช่คู่ต่อสู้ของนางอยู่แล้ว
ในขณะที่ช่านเย่ยืนกอดอกด้วยท่าทางถือดีมองลี่เซียนอย่างเหยียดหยันขั้นสุด อิ๋นถิงเองก็ไม่ต่างกัน
หญิงสาวมองลี่เซียนด้วยสายตาเย็นชาท่าทางหยิ่งผยอง เพราะชนชั้นที่แตกต่างไหนเลยคู่ควรแก่การลดตัวทักทายเสวนา
ฝ่ายลี่เซียนมิได้รู้ตัวว่ากำลังถูกสายตารังเกียจจู่โจม เพราะนางไม่มีใจอคติกับใครเป็นทุนเดิม คิดแต่จะออกตามหาสิ่งของที่หายไปเท่านั้น
หญิงสาวจึงแย้มยิ้มเฉิดฉัน กลีบปากจิ้มลิ้มยามขยับยิ้มยิ่งน่ารักเป็นที่สุด ขับเน้นพวงแก้มอมชมพูระเรื่อน่าทะนุถนอมนัก
“ยินดีที่ได้พบหน้า พี่ชายพี่สาวทั้งหลาย ข้าลี่เซียน”
รอยยิ้มพิลาสล้ำ ดวงหน้าพริ้มเพรา ท่วงท่างดงาม กิริยานอบน้อม ท่าทางยิ่งเปิดเผยเห็นถึงความจริงใจ
ลี่เซียนแสดงความเป็นมิตรกับทุกคน น่าคบหาอย่างที่สุด
บรรดาทหารยามต่างพากันคลี่ยิ้มเก้อเขินพยักหน้าทักทายกลับพัลวัน มีเพียงหมอหญิงสองคนที่เม้มปากกลอกตามองค้อนพวกบุรุษอย่างไม่ชอบใจนัก
ลี่เซียนมิได้ถือสากับกิริยาอันแตกต่างนั่น นางยิ่งคลี่ยิ้มหวานละมุนงดงามจับตาแล้วถามเสียงใส
“พวกท่านมีใครเห็นสิ่งของบางอย่างหรือไม่?”
ทหารคนหนึ่งถามขึ้น “คือสิ่งใดหรือแม่นาง?”
ลี่เซียนยกนิ้วเรียวขาวปานลำเทียนขึ้นกรีดอากาศเพื่อแจกแจงพลางนับจำนวน
“คัมภีร์ครวญวสันต์ ภาพวาดอภิรมย์ ตำรารัญจวน ยังมีน้ำมันหอมเร้าอารมณ์ ตลับชาดสัมผัสรักตรึงใจ”
อีกคราที่ทหารต้องเบิกตาโพลง หมอหญิงขมวดคิ้ววูบ ก่อนที่ทุกคนจะมีใบหน้าแดงเรื่อส่ายหัวแทบหลุดปฏิเสธแทบคลั่ง
สิ่งของเหล่านั้นต่อให้เคยผ่านตาหรือศึกษาจนแตกฉาน ย่อมไม่อาจตอบรับซึ่งหน้าแน่นอน
“ไม่เลย ไม่เห็น ไม่มีๆ”
ลี่เซียนเห็นทุกคนปฏิเสธอย่างสามัคคีก็ไม่เซ้าซี้เพียงรักษารอยยิ้มค้อมศีรษะขอบคุณแล้วเดินผ่านหน้าทุกคนไปด้วยท่าทางปกติเพื่อออกตามหาทุกสิ่งที่ว่าอย่างจริงจังด้วยตนเอง
ทหารยามคนหนึ่งอายุสิบห้าปีนาม อี๋เป่า รู้สึกเป็นห่วงจึงเดินตาม “แม่นางมีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่?”
ลี่เซียนหันหน้าไปยิ้มให้ กำลังจะบอกขอบคุณในน้ำใจ ทว่าจังหวะนั้นพลันมีทหารสองคนท่าทางขึงขังสีหน้าถมึงทึงเดินมาจากทิศทางใดมิอาจทราบ ทั้งสองตวาดก้อง
“เจ้าคือลี่เซียนรึ?”
หนึ่งในสองคนก้าวเท้าฉับเข้ามาหาลี่เซียน แต่ปากเอ่ยเสียงเข้มกับทหารอีกคน “ไม่ผิด! เมื่อครู่ข้าได้ยินนางแนะนำตัว” กล่าวพลางเอื้อมมือตะปบไหล่บาง “ในที่สุดก็หาพบ ไปกับข้า!”
จบคำก็ผลักร่างระหงให้เดินนำหน้า โดยมีพวกเขาเดินตามหลังอย่างคุกคาม ลี่เซียนได้แต่เดินไปตามทางอย่างงุนงง
ทั้งดุดันทั้งรวดเร็วและรวบรัด ไม่เว้นช่องให้ปฏิเสธ
ทหารยามและหมอหญิงต่างมองตามอย่างไม่เข้าใจนัก
อี๋เป่าเป็นเด็กหนุ่มที่ค่อนข้างมีปฏิภาณไหวพริบดีจึงตัดสินใจเดินตามไปด้วยอีกคน
เพียงแต่ยังคงเงียบงันไม่ปริปากห้ามปรามหรือช่วยเหลือ แค่รอดูสถานการณ์ไปก่อน
เนื่องจากเขาเห็นกับตาว่ารุ่ยอ๋องอุ้มสตรีผู้นี้เข้าห้องด้วยตนเอง ทว่ายังไม่แน่ใจนักว่าเป็นการสมยอมหรือบีบบังคับ
หากถูกบีบบังคับเพราะทำผิดแล้วคิดหนีย่อมต้องถูกควบคุมตัวอยู่แล้ว
แต่ถ้าไม่...จะได้บอกพี่ชายทั้งสองให้ยั้งมือไว้ไมตรี เผื่อว่านางเป็นสตรีของรุ่ยอ๋อง ความดีความชอบจะไปไหนเสีย บางทีอาจได้เงินตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ
ลานกว้างทิศอุดรของค่ายทหารเดิมทีเป็นสถานที่รวมพลหมู่ทหาร
ทว่าค่ำคืนนี้กลับกลายเป็นสถานที่ควบคุมมือสังหาร พวกมันถูกมัดตรึงด้วยพันธนาการยากหลุดพ้น
หลายคนฆ่าตัวตายปล่อยร่างกายกลายเป็นซากศพกระจายเกลื่อน โลหิตสีแดงฉานสาดกระเซ็นแปดเปื้อนไปทั่ว
ท่ามกลางศพที่ฟุบระเนระนาดเหล่านั้น ปรากฏบุรุษดุจเทพจำแลงยืนหยัดเงียบงัน มองภาพเบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชา ร่างสูงใหญ่งามสง่าของเขาแผ่ซ่านความเด็ดขาดเฉียบคมออกมา
แค่ปรากฏกายสู่ครรลองสายตาก็สามารถข่มขวัญสั่นประสาททุกชีวิตให้พรั่นพรึงหวั่นไหว
เพราะกลัวเกรงทัณฑ์ทรมานที่อาจจะสาหัสมากกว่าที่เป็นอยู่ การปลิดชีพตนไยมิใช่หนทางหลุดพ้น
ผู้ร้ายที่ถูกมัดมือมัดเท้าจนทำได้เพียงนอนดิ้นพล่านจึงพากันกัดลิ้นสิ้นใจตายไปทีละคนสองคน
นับเป็นการเพิ่มจำนวนซากศพให้พวกที่เหลือพากันหวาดหวั่นขวัญสะเทือนไม่สิ้นสุด พวกมันเหลือกตามองบุรุษผู้เปรียบประดุจมารร้ายอย่างหวาดผวายากระงับ
ท่ามกลางสายตาพรั่นพรึงเหล่านั้น เจ้าของวงหน้าคมสันผู้เป็นต้นเหตุแห่งหายนะกลับยังคงนิ่งเงียบไม่เผยอารมณ์
ภายใต้บุคลิกทรงอำนาจน่าเกรงขาม ตลอดทั้งร่างแผ่รังสีคุกคามของรุ่ยอ๋องแห่งต้าถัง หาได้มีใครรู้ไม่ ว่าเขามิได้สนใจคนร้ายสักเท่าใด
พวกมันใคร่ตายด้วยตัวของมันเองหรือคำสั่งจากเขา ล้วนต้องตายทั้งสิ้น
“ตัดหัวพวกมันให้หมด!”
วาจาเรียบง่ายกล่าวจบ ถังไห่เฉิงสะบัดชายเสื้อดังพึ่บ พาร่างสูงเดินไปทางเรือนอีกฝั่งหนึ่ง
เรือนฝั่งนั้นมีบรรดาทหารยามที่เป็นพยานรู้เห็นเกี่ยวกับสตรีผู้เป็นสาเหตุของการสลบไสลจนเป็นการเปิดทางให้นักฆ่าสามารถลงมือสังหารเขาได้อย่างอุกอาจ