ตอน 3
“นายภูนะ”
“กรณ์สนใจธัญญ่าหรือสนใจคนที่เหลือแต่ตัวล่ะคะ”
“ผมเป็นเพื่อนหมอนั่น”
“ไม่รู้สิ ถ้ากรณ์ยังอยากนับภูเป็นเพื่อนก็ตามใจ ธัญญ่ากลับละค่ะ” แสร้งคว้ากระเป๋าหมุนตัวเตรียมก้าว
“ไม่เอาน่า” กรณ์สวมกอดรั้งร่างคนสวยไว้ ดึงเธอเข้ามาจุมพิต อารมณ์สวาทคนทั้งสอง นำพาให้ลืมสายที่โทรเข้ามา
“ผมมาพบคุณธัญญ่าครับ” ภูดนัยแจ้งความประสงค์ แก่ประชาสัมพันธ์สาวสวย สวมยูนิฟอร์มสีฟ้าอ่อน
“ไม่ทราบว่าคุณอะไร ต้องการพบบอสคะ”
“ผมภูดนัยครับ”
“อ่า...คุณธัญญ่าไม่อยู่ค่ะ ไปต่างประเทศ”
“กลับวันไหนครับ”
“ไม่ทราบค่ะ พอดีคุณธัญญ่าไม่ได้แจ้งไว้ รบกวนฝากข้อความไว้ได้นะคะถ้าบอสกลับมา ดิฉันจะเรียนให้ท่านทราบค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมติดต่อเธอเองดีกว่า” เพราะเรื่องที่เขาต้องการพูดค่อนข้างสำคัญฝากไม่ได้ ครั้นพอผิดหวังไม่พบแฟนสาว จึงเดินออกมาหยิบโทรศัพท์ โทร.หาเพื่อนสนิทอีกคน ปรากฏว่าไม่รับเช่นกัน
“โธ่เว้ย! วันนี้จะมีใครรับสายฉันบ้างไหมวะ” ชายหนุ่มเริ่มหัวร้อนปกติเขาก็ไม่ใช่คนต้องอดทนกับความรำคาญได้ดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เรื่องความเดือดร้อนของครอบครัว เขาจะไม่มีวันอดทนถึงขนาดนี้ ตอนนี้ภูดนัยจำเป็นต้องสั่งตัวเองรู้จักคำว่า ‘ใจเย็น’ รสะกดกลั้นอารมณ์ ยับยั้งความฉุนเฉียวลง
“ผมมาพบคุณกรณ์” เขาบึ่งรถต่อไปหากรณ์ ที่สำนักงานใหญ่ธนาคารสีเหลือง อีกหนึ่งความหวังของภูดนัย เชื่อเหลือเกินว่ากรณ์จะไม่เพิกเฉยต่อปัญหาของเขา เพราะกรณ์กับเขาเป็นเพื่อนรักตั้งแต่สมัยประถมเรียนมัธยมห้องเดียวที่โรงเรียนนานาชาติ
“คุณกรณ์เดินทางไปประชุมที่ต่างประเทศค่ะ” ท่าทีพนักงานสาวลุกลี้ลุกลน ยิ้มไม่เต็มปากในการกล่าวกับแขก
“หะ...หาว่าไงนะ ไปประชุมต่างประเทศ เมื่อไหร่กลับ” วันนี้ก้าวเท้าไหนออกจากบ้าน สองคนแล้วที่ไม่อยู่ “ผมจะขึ้นไปพบคุณกรณ์เอง” เขาไม่เชื่อว่าเพื่อนไม่อยู่ ประจวบเหมาะเกินไป ทั้งแฟนทั้งเพื่อนไม่อยู่วันเดียวกัน
“เดี๋ยวค่ะคุณ คุณกรณ์ไม่อยู่ค่ะ”
“กลับวันไหน” ภูดนัยเสียงแข็งกร้าว หันกลับมาถามพนักงานสาวในยูนิฟอร์มน้ำตาลเหลือง ที่วิ่งตามมารั้งเขาไม่ให้ขึ้นไปพบเจ้านายของเธอ
“ราวๆ สองสามวันค่ะ” เธอไม่ทราบกำหนดการ จึงบอกเอาตัวรอดไปก่อน
“งั้น ฝากบอกกรณ์ด้วยนะผมภูดนัยมาหา ไว้จะแวะมาใหม่” บางทีกรณ์อาจจะไม่ได้ไปต่างประเทศจริง เขาเริ่มฉุกคิดทุกคนคงไม่ต้องการต้อนรับคนถังแตก บ้านหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างเขา ทุกคนจึงหนีหน้า ธัญชนกเธอเป็นคนหนึ่งที่เลี่ยงไม่อยากพบตน ชายหนุ่มอดคิดทำนองนั้นไม่ได้
แฟนสาวคือความคิดสุดท้าย ที่เขาจะคิดว่าเธอรังเกียจฐานะยาจกของเขาในตอนนี้ ภูดนัยก้าวออกจากอาคารสำนักงานใหญ่ธนาคารที่มีชื่อเสียงแห่งนั้น รู้สึกมืดแปดด้าน ไม่รู้จะไปไหน จึงแวะดื่มคนเดียวเผื่อสลัดเรื่องเครียดได้บ้าง บ้าเถอะเขาไม่สามารถสลัดทิ้งได้ ในหัวยังคงคิดวนเวียนเรื่องหาเงินมาใช้หนี้ให้บิดาอยู่ดี
“นะนะนง ช่วยฉันสักครั้งเถอะ” พิมพ์วิไลมาถึงบ้านเพื่อน ขอร้องรบเร้าเพื่อนเพื่อให้ช่วยเรื่องเงิน
“วิ เธอมีอะไรมาค้ำประกัน จำนวนเงินที่เธอขอยืมไม่น้อยๆ เลยนะ”
“นี่ไงฉันมีโฉนดที่บ้านพร้อมที่ดิน”
“โฉนดบ้านพร้อมที่ดินของเธอนี่นะ อย่าหาว่าฉันอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะวิ”
“ยังไง”
“ฉันได้ข่าวว่าบ้านของเธอ กำลังจะโดนธนาคารยึดไม่ใช่หรือ”
“เอ่อ...คือ” นั่นก็ใช่ในมือของเธอมีแค่สำเนาโฉนด ต้นฉบับอยู่กับธนาคาร สามีนำไปจำนอง เพื่อนำเงินมาโปะหนี้ แต่นั่นก็ยังคงมีหนี้สินผุดออกมาทีละก้อนล้วนแต่เป็นก้อนใหญ่ทั้งสิ้น
“เรื่องเงินทอง ฉันคงต้องปรึกษาคุณบัลลพก่อน ตัดสินใจสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เขาเป็นคนหาเงิน” ตอนจะหยิบเงินไปใช้คุณนงไม่เห็นเคยบอกสามี คราวนี้กลับมีสำนึกอยากบอกสามีเสียก่อนซะอย่างนั้น
“เธอช่วยพูดกับคุณลพให้ทีนะ ฉันจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ นะนะ ฉันไหว้ล่ะนง” เป็นเพื่อนกันต่อให้ต้องไหว้ก้มกราบ พิมพ์วิไลก็ยอมตอนนี้ไม่สามารถเลือกอะไรได้ นอกยอมทนกับสายตาหยามเหยียด คำดูถูกของคน
“ร้อยล้านนะวิ ไม่ใช่เงินสองร้อย” นงนภัสเชิดใส่เพื่อน
“น่านะฉันจะพยายามหามาคืน ตอนนี้ลูกชายฉันกลับมาแล้ว ฉันไม่จนตรอกหรอก”
“ได้ข่าวว่าลูกเธอก็ผลาญเงินเป็นว่าเล่น” พิมพ์วิไลเคยมาบ่นกับ นงนภัสเกี่ยวกับเรื่องที่ส่งลูกชายใช้เงินเก่ง อย่างนี้แล้วจะเข้าท่าไหม “นั่นไงคุณบัลลพกลับมาพอดี ฉันจะลองถามเขาให้นะ” นงนภัสก้าวไปต้อนรับสามีที่เพิ่งลงจากรถยนต์
“มีแขกหรือคุณนง”
“ค่ะ เดี๋ยวค่ะคุณอย่าเพิ่งเข้าไป” เธอดึงสามีไว้
“มีอะไร”
“คุณวิค่ะ”
“วิไหน”
“พิมพ์วิไลภรรยาคุณชัชพงษ์ยังไงละคะ”
“เพื่อนคุณนี่”
“ใช่สิคะ”
“เขามาทำไม”
“มาขอกู้เงิน แต่ฉันบ่ายเบี่ยง ขอปรึกษาคุณก่อน”
“แสดงว่าคุณไม่อยากให้กู้”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้เราต่างรู้กันอยู่ว่า วิเหลือแต่ตัวกับหนี้สิน ฉันไม่อยากให้กู้ กลัวไม่ได้เงินคืนสิคะ”
“เพื่อนคุณนี่นาไม่ช่วยหรือ”
“ข่าวก็ออกโครม ๆ คุณจะให้ฉันช่วยได้ยังไงเพื่อนก็เพื่อน เสียเพื่อนมาเยอะเพราะเรื่องเงิน”
“ตามใจคุณก็แล้วกันนะ คุณว่าไงผมว่าตามนั้น”
“ตามใจฉันอย่างเดียวไม่ได้ คุณต้องสนับสนุนความคิดฉันด้วย ฉันอุตส่าห์ยกคุณมาอ้าง”
“ว่าไงว่าตามกัน”
“ช่วยเล่นใหญ่หน่อยนะคะ ตามน้ำกับฉันไปก่อน”
พิมพ์วิไลเพิ่งตระหนักกับใจตอนนี้เองว่า ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร เธอก้าวออกจากบ้านนงนภัส ด้วยความปวดร้าว มองเงินสองร้อยบาทที่เพื่อนสนิทที่สุดทิ้งลงบนโต๊ะ หลังจากปฏิเสธการช่วยเหลือ ยังพูดให้เจ็บใจอีกว่า ฉันส่งค่ารถเธอกลับบ้านเท่านี้ก็น่าจะพอนะวิ พลางทิ้งเงินสองร้อยบาทลงบนโต๊ะ
หม้ายสามีตายเดินออกจากบ้านหลังใหญ่โต ที่เคยคุ้ย เมื่อก่อนแวะเวียนมาหาเพื่อนประจำในยามคบค้าสมาคมกันดี ถ้าไม่มีเรื่องเงิน นงนภัสเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้
“โธ่...คุณผู้หญิง” เฟืองสงสารเจ้านายจับใจ มาหาเขาให้เขาดูถูกดูแคลนแท้ๆ ไม่ให้ยืมไม่เท่าไหร่ ไอ้เงินสองร้อย เท่ากับตบหน้ากันชัดๆ คงหาว่าเป็นยาจกมาขอทานละสิ
“ไม่เป็นไรเฟือง ไม่เป็นไร” พิมพ์วิไลตบหลังมือเฟืองที่แตะเธอ สีหน้าในตอนนี้เครียดขึง เพียงแต่แสร้งเผยรอยยิ้ม เพื่อกลบเกลื่อนความคิดอดสูใจ
นับเป็นช่วงเวลาลำบากใจในการเอาชีวิตรอด ภูดนัยจำเป็นต้องทำใจเข้มแข็ง ตอนนี้ตนต้องทำหน้าที่เสาหลัก แม้ไม่พร้อมจำต้องพร้อม ตัดใจลาจากรถยนต์ที่รักยานพาหนะคู่ใจคันเก่ง ด้วยความอาวรณ์หลังจากตัดสินใจขายให้กับโชว์รูมรับซื้อรถมือสอง เพื่อนำเงินนี้มาประนอมหนี้บางส่วน พอวันนัดชำระหนี้มาถึง แทบไม่ต้องโทร.ตามเลยด้วยซ้ำ บรรดาเจ้าหนี้ต่างมารอกันสลอนอยู่หน้าบ้าน
ภูดนัยมองเงินจำนวนนั้นในมือเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่มันต้องทำหน้าที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ให้กับเจ้าหนี้แต่ละราย
“นี่มันก็แค่ดอกเบี้ยนะคุณภู”
“คุณจะไม่รับก็ได้นะ” เขาใช้หลักจิตวิทยา ไม่มีใครไม่อยากกำอะไรในมือ กำขี้ยังดีกว่ากำตดยังคงใช้ได้เสมอ
บุตรชายคนเดียวของบ้าน จำเป็นต้องดูแลจิตใจมารดาไปพร้อมกับการหาเงินมาใช้หนี้ ในแบบของเขาในระยะเวลากระชั้นชิด พิมพ์วิไลเศร้าหมองตรอมใจ กับสภาพที่เป็นอยู่ ปัญหาร้อยแปดถาโถม ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรทั้งสิ้น