ตอน 2
มีเพียงสองแม่ลูกนำเถ้ากระดูกไปลอยอังคาร กลับมาบ้านยังไม่ทันได้เหยียบย่างเปิดประตูบ้าน เจ้าหนี้นับสิบรายต่างรายล้อมรออยู่หน้าประตู
“นั่นพวกแกจะไปไหน” พิมพ์วิไลเห็นบรรดาคนรับใช้เดินถือสัมภาระกันมาหน้าสลด
“พวกเราขอลาค่ะคุณผู้หญิง” เงินเดือนเดือนที่แล้ว ได้รับครึ่งหนึ่ง พวกคนรับใช้ไม่อาจทนอยู่ได้
“พวกแกจะทิ้งฉันไปอย่างนี้นะหรือ”
“พวกเรามีครอบครัวต้องเลี้ยงดูค่ะคุณผู้หญิง ทำงานไม่ได้เงิน พวกเราจะอยู่ไปทำไม” คนรับใช้ทั้งสามหิ้วกระเป๋า หอบกระสอบก้าวพ้นประตูบ้านดำรงเกียรติ ตอนนี้โดนลบเกียรติเพราะเงินหมด พิมพ์วิไลร้าวราน มองไปยังป้าเฟือง ที่ยืนนิ่งหันมองทางเธอ “เฟืองแกไม่ไปกับเขาหรือ”
“โธ่...คุณผู้หญิง เฟืองทิ้งคุณผู้หญิงไปไม่ได้หรอกค่ะ” คนรับใช้ที่รับใช้กันมานานหลายปี ไม่อาจใจจืดใจดำทิ้งขว้างเอาตัวรอด นางมีอยู่มีกินก็เพราะได้เข้ามาทำงานในบ้านนี้ พอเจ้านายเข้าตาจนก็จะหอบของหนีอย่างไอ้พวกสามคนนั้นหรือเห็นจะทำไม่ลง
“ฉันไม่มีเงินเดือนให้แกนะ ตอนนี้แกน่าจะรู้ บ้านเราถังแตก”
“เรื่องนั้นช่างเถอะค่ะ คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายให้เฟืองมาเยอะแล้ว ถึงเวลาที่เฟืองต้องตอบแทนบุญคุณข้าวแดงแกงร้อน ของคุณผู้หญิงบ้าง”
“ขอบใจแกมากเฟือง ขอบใจจริงๆ” คุณผู้หญิงบีบมือคนรับใช้วัยกลางคนไว้ เฟืองอยู่ด้วยกันมานานหลายปีตั้งแต่สาวจนชรา พานน้ำตารื้นไปด้วยกัน
“คุณผู้หญิงอย่าร้องไห้เลยค่ะ” ป้าเฟืองสงสารเจ้านายจับใจ นางทำงานที่บ้านนี้ตั้งแต่เป็นสาวรุ่น ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงภูดนัย นับวันโตขึ้นก็ยิ่งหล่อเหลาราวกับดารานายแบบ แม้ตอนเป็นเด็กจะเอาแต่ใจเกเรไปหน่อย ตอนนี้พอแม่เจอปัญหาสามมรถอยู่เคียงข้างแม่ได้ ผิดไปจากตอนเป็นวัยรุ่น มักติดเพื่อน ติดเที่ยว จนพ่อแม่ส่ายหน้าเอือมระอาไปตาม ๆ กัน
“หนี้ ว่ายังไงล่ะครับ อย่าทำเฉยสิช่วยจ่ายด้วย” คนแปลกหน้าที่อยู่หน้าบ้านตะโกนผ่านประตูอัลลอยด์ สูงตะหง่านเข้ามาจนน่าตกใจ ต่างคนต่างตะโกนทวงหนี้ไม่ฟังเสียงกัน
“ของผมด้วย”
“ของฉันด้วย”
ซัพพลายเออร์พวกนี้ตามทวงที่บริษัทไม่ได้ ก็แห่กันมาทวงถึงหน้าบ้าน ต่างคนต่างยื่นเอกสาร อย่างกับเปรตขอส่วนบุญ คู่ค้าเหล่านี้ทำการซื้อขายสินค้าร่วมกันมานานหลายปี ผ่อนปรนหนี้จนเกินเครดิตไปหลายเดือน ไม่อาจทนอยู่นิ่งเฉยได้ ส่งเจ้าหน้าที่ติดตามหนี้สินมากดดันอยู่หน้าบ้าน ทำจนกว่าจะได้เงินคืน
“ผมจะไปคุยกับพวกเขาเองครับแม่ ป้าเฟืองพาแม่เข้าบ้าน”
“ค่ะคุณภู” เวลานี้พิมพ์วิไลอ่อนแรงเหลือเกิน ถ้าต้องรับมือกับเจ้าหนี้นับสิบรายเหล่านี้คงได้เป็นลมตาย
คนพวกนั้นต่างยื่นเอกสารการทวงหนี้แทบจะทิ่มตา หาได้มีความเกรงใจไม่ ขึ้นชื่อว่าลูกหนี้ก็ต้องโดนปฏิบัติแบบไม่เห็นหัวอยู่แล้ว ภูดนัยรับเอกสารจากทุกคนมาดูจำนวนตัวเลข พระเจ้า ! ไม่ใช่แค่หลักหมื่น แต่คือหลักแสน รวมกันหลาย ๆ แสนก็กลายเป็นล้าน
“เอ่อ...คือ” เขาหันไปมองรถยนต์คันปราดเปรียวสีสดที่จอดอยู่ในโรงรถ ลอบกลืนน้ำลายจนลูกกระเดือกกระเพื่อม “เอาละครับ ภายในไม่เกินเจ็ดวัน ผมจะจัดการหนี้ให้กับทุกคน”
“เฮ้ย จริงหรือพ่อหนุ่ม” เจ้าหนี้รายนี้ไม่เคยเห็นภูดนัย รู้จักแค่พิมพ์วิไลกับชัชพงษ์ ในฐานะเจ้าของโรงงานเภสัชกรรมดำรงฟาร์ม่า “พ่อหนุ่มเป็นใคร” เขาอยากรู้จัก
“ผมเป็นทายาทคุณชัชพงษ์ครับ เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก รับรองหนี้ทุกบาทของพวกคุณ ผมจะจัดการให้เอง” เขารับปากไปก่อน
“เจ็ดวันแน่นะ ว่าไงพวกเราจะเชื่อดีไหม” เจ้าหนี้คนนี้หันไปถามเจ้าหนี้รายอื่น ต่างต้องการเงินไปคืนบริษัทเช่นเดียวกัน
“โอ๊ย ! ไม่เชื่อหรอก ผลัดมาเป็นปียังไม่ได้เลย เจ็ดวันราคาคุยนะสิ พวกเราจะเอาเงินวันนี้” เสียงโหวกเหวกโวยวาย ไม่เชื่อคำพูดทายาทตระกูลที่โดนฟ้องล้มละลาย ก่อนหนีเข้ากลีบเมฆ พวกเขาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ทวงหนี้ เช่นนั้นต้องได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไป ขนาดประมุขของโรงงานชื่อเสียงโด่งดังมาหลายสิบปี ยังปลิดชีพตัวเองหนีหนี้ เด็กเมื่อวานซืน มีหน้าอะไรมาสัญญา เรื่องการจ่ายชำระหนี้ภายในเจ็ดวัน ราคาคุยชัด ๆ
“หยุด !” ภูดนัยตวาดลั่นเพื่อห้ามขบวนคาราวานเจ้าหนี้ “ถ้าขืนเข้ามาในบ้านผมแม้แต่ก้าวเดียว รับรองผมแจ้งความข้อหาบุกรุกแน่ พูดไม่ฟังกันหรือยังไง ผมรับปากจะจัดการเรื่องหนี้ก็คือจัดการ เชื่อกันบ้างสิ”
“ไม่เชื่อ คิดว่าเราโง่หรือไง เท่าที่ผ่านมา ผัดผ่อนจ่ายเช็กเด้งไม่รู้ต่อกี่รอบ รอบนี้พวกเราต้องได้เงิน เป็นตายร้ายดียังไงวันนี้ เราจะไม่กลับมือเปล่า” เจ้าหนี้รวมตัวกันกระด้างกระเดื่อง ต่างไม่ยอมล่าถอยเด็ดขาด
“ถ้าไม่ให้เวลา ถ้าขืนฆ่าผมกับแม่ เท่ากับพวกคุณไม่ได้เงิน จัดเป็นหนี้สูญ สู้ให้ผมกับแม่หาเงินมาใช้คืนไม่ดีกว่าหรือครับ ผมเองก็เพิ่งจัดงานศพให้พ่อเสร็จ เห็นใจกันบ้างสิ ยังไม่มีเวลาคิดหาทางทำอะไร พวกคุณก็มายืนกดดันหน้าบ้าน ให้เวลากันบ้างไม่ได้หรือยังไง” ใจจืดใจดำจริงคนพวกนี้
“เอาไงพวกเรา” เจ้าหนี้หันหน้ามาปรึกษากัน อย่างที่ชายหนุ่มว่าถ้าตายกันหมดก็ไม่ได้เงิน สู้ปล่อยให้ไปหาเงินยังดีกว่าตาย
“ให้เวลาอีกหน่อยก็แล้วกัน ถ้าตายไปหนี้พวกเราก็สูญ” ชัชพงษ์ตายไปคน ขืนกดดันมาก ๆ สองแม่ลูกเกิดฆ่าตัวตายไปอีก คงได้เดือดร้อนหนี้สูญกันถ้วนหน้า
ในที่สุดขบวนเจ้าหนี้ เฮโลต่างกันกลับบ้านใครบ้านมัน
หนุ่มหล่อนักเรียนนอก ได้แต่ถอนหายใจโล่งอก หันมองรถสปอร์ตของตัวเองด้วยความอาลัย คล้ายต้องการสั่งลา สุดท้ายเมื่อปลงตก เขาจึงย่อตัวเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย ขับออกไปนอกบ้าน
“ทองคำของแม่จะไปไหน” พิมพ์วิไลมองรถสปอร์ตที่แล่นออกไป ได้แต่เปรยถามตัวเอง
“ว่ายังไงนะคะคุณผู้หญิง”
“อ๋อ... เปล่าหรอกฉันเรียกตาภู”
“คุณภูชื่อทองคำหรือคะ”
“เป็นภาษาอีสานน่ะแปลว่า ลูกสุดที่รัก”
“เป็นงั้นไป ว่าแต่คุณผู้หญิงหิวไหมคะ กินอะไรซะหน่อย ประเดี๋ยวจะไม่สบาย”
“เฟืองแกเป็นห่วงฉันใช่ไหม” เธอซึ้งน้ำใจที่เฟืองไม่ทอดทิ้ง
“ไม่ห่วงคุณผู้หญิงจะให้ดิฉันห่วงใครล่ะคะ มีกันอยู่แค่นี้”
“ขอบใจมากเฟือง งั้นแกไปกับฉันหน่อยนะ”
“ไปไหนคะ”
“ฉันคงต้องหาทางออกให้กับเรื่องนี้” สาหัสแค่ไหนจำเป็นต้องดำเนินชีวิตผ่านช่วงเวลาลำบากไปให้ได้ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอสถานการณ์หนักหน่วงเท่าครั้งนี้มาก่อน หญิงนักสู้อย่างพิมพ์วิไลบอกตัวเองให้อดทนก้าวต่อไป เจอปัญหาต่าง ๆ นานามาตั้งเยอะเกิดมาท้ออะไรเอาตอนนี้ “คุณคะช่วยให้ฉันเจรจาสำเร็จด้วยนะคะ” เธอวอนต่อสามีที่ล่วงลับไปแล้ว
ระหว่างตะบึงรถออกไปบนท้องถนน ในใจมีแต่เรื่องต้องคิดหนัก เขาคิดถึงแฟนสาวนักธุรกิจ โทรศัพท์หาเธอทางนั้นไม่รับสาย ปล่อยให้โทรศัพท์ดังอยู่อย่างนั้น โทร.หาคนของหัวใจอยู่หลายครั้ง ผลยังคงเป็นเช่นเดิม คิดในทางที่ดีบางทีเธออาจทำงานอยู่ก็เป็นไปได้ เอาเป็นว่าไปเซอร์ไพรส์เธอที่บริษัทเลยก็แล้วกัน
ภูดนัยหมุนพวงมาลัยรถเลี้ยวแยกหน้า ขับมุ่งตรงไปบนเส้นทางไปยังบริษัทแฟนสาวในทันใด
โทรศัพท์ที่วางบนโต๊ะทำงานดังอยู่หลายรอบ ธัญชนก เอมมิกา หรือคุณหนูธัญญ่า นักธุรกิจสาวสวยเจ้าของยี่ห้อเครื่องสำอางทีวายเอ็ม (TYM) ที่เป็นผลิตภัณฑ์ความงามตีตลาดโลก ชำเลืองมองหน้าจอโทรศัพท์ ในท่าทีเฉยเมยเบะปากไม่ใส่ใจรับ
สักครู่โทรศัพท์ของเธอดังขึ้นอีก ธัญชนกไม่ใส่ใจกดรับ มองมันแล้วเมินเฉย ลุกเดินไปเปิดประตูห้องทำงาน
“ถ้ามีใครมาหาฉัน ช่วยถามชื่อก่อนนะ ถ้าเป็นคนชื่อภู บอกไปว่าฉันไม่อยู่ไปต่างประเทศ”
“ค่ะ คุณธัญญ่า”
หญิงสาวสั่งเสร็จคว้ากระเป๋าใบแพงคล้องแขน เดินเฉิดฉายออกจากห้องทำงาน ขับรถออกไปข้างนอก เพื่อไปหาใครบางคนดีกว่าอยู่ต้อนรับเจ้าของเบอร์ที่โทรเข้ามา
“ไง มาหาผมมีธุระอะไร” กรณ์ ปัญจพล หนุ่มหล่อสง่าทายาทธนาคารสีเหลือง เอ่ยถามสาวสวยผู้คุ้นเคย
“แหม...ปกติธัญญ่ามาหากรณ์ ก็ไม่ได้มีธุระอะไรนี่คะ นอกจากธุระของเราสองคน” เธอเดินตรงไปหาเขาที่โต๊ะทำงาน ในห้องทำงานใหญ่โตหรูหราได้รับการออกแบบตกแต่ง จากอินทีเรียมือหนึ่ง สำหรับกรณ์ทุกอย่างต้องดีเยี่ยมเสมอ แม้แต่ผู้หญิงที่เขาคบหาต้องดูแพงหรูมีระดับแบบธัญชนก
“คุณมาหาผมแบบนี้ ไม่รู้หรือไงนายภูกลับมาแล้วนะ”
“ช่างภูสิคะ ธัญญ่าไม่เห็นสนใจ”
“ไม่สนหมอนั่นเลยหรือ แฟนคุณนะ”
“ธัญญ่ามีคุณอยู่ทั้งคน ทำไมต้องสนคนอื่น” คนเหลือแต่ตัวอย่างนั้น อีกทั้งไม่รู้หนี้สินที่พ่อสร้างไว้จะเยอะสักแค่ไหน ไม่สิ้นคิดไปคบด้วยหรอก เธอไม่คิดพาตัวเองดิ่งลงเหว คนฉลาดผู้หญิงเก่งทันสมัยอย่างเธอ ต้องคบกับผู้ชายที่คู่ควรเท่านั้น
“ไม่เอาน่าธัญญ่า นี่ที่ทำงานนะ” ผู้บริหารด้านการเงินหนุ่มหล่อ แกล้งทำทีเป็นเจ้าระเบียบเรื่องสถานที่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ธัญญ่าคิดถึงกรณ์นี่คะ” ส่งเสียงอ่อนหวานออดอ้อน
จังหวะนั้นโทรศัพท์ของกรณ์แทรกอารมณ์คิดถึงเข้ามาซะก่อน กรณ์ชะงักหันมองไปดูหน้าจอโทรศัพท์
“อย่ารับนะคะ” สาวสวยปัดโทรศัพท์ห่างตัว ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเอื้อมมือรับ