ตอน 1
ปัง !!!
เสียง ! สนั่นนั่นคือเสียง... ไม่นะต้องไม่ใช่ คนหล่อเดินเข้ามาในบ้าน ฉับพลันหูได้ยินเสียงก้องกัมปนาท อุตส่าห์หอบความภาคภูมิใจกับความสำเร็จมาจากอเมริกา ปลายเท้าชะงักกึก หัวใจกระตุก มือหิ้วสัมภาระ ทิ้งทุกอย่างลงฉับไว วิ่งหน้าตื่นตรงเข้าไปในบ้าน หัวใจเกือบหยุดเต้น แอบคิดว่าเป็นการจุดประทัดเพื่อต้อนรับการกลับมาของเขา หากแต่ฉุกคิดขึ้นมาทันใด ตนไม่ได้แจ้งต่อใครแม้แต่คนเดียว ในการกลับมาประเทศไทย
พิมพ์วิไลลุกพรวดทันทีที่ได้ยินเสียงดัง ในขณะหันไปเห็นคนที่ก้าวเข้ามาเป็นลูกชาย เสียงดังนั้นทำให้ตกใจสุดขีด คนที่โผล่มายิ่งทำให้ประหลาดใจหนักเข้าไปอีก เสียงลั่นนั้นคืออะไรกันแน่คล้ายเสียงปืน แม่ลูกมองหน้ากันสีหน้าบ่งบอกความตกใจ ไม่ทันต้องทักทายต่างวิ่งขึ้นบันได ถลาไปยังห้องที่ก่อให้เกิดเสียงเขย่าหัวใจ
ทันทีที่ประตูเปิดผลัวะ สิ่งที่ทั้งสองแม่ลูกเห็นตรงหน้าชัชพงษ์ ดำรงเกียรติ ประมุขของบ้านดำรงเกียรติ นอนจมกองเลือดแดงฉาน กระบอกปืนสีดำมะเมื่อมตกอยู่ข้างตัวเขาบนเตียงนอน
“คุณ !!! ไม่นะ คุณ ทำไมคุณถึงทำแบบนี้” นอกจากปืนที่ตกอยู่ข้างตัว ยังมีกระดาษวางอยู่บนหน้าอก
ภูดนัย ดำรงเกียรติ มองภาพบิดาด้วยดวงตาไหว เขาทำอะไรไม่ถูกสติถูกดึงออกจากร่างไปเสียสิ้น นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ที่ผ่านมาครอบครัวเขาต้องเจออะไร ทำไมเขาไม่รู้ ชายหนุ่มยื่นมือไปหยิบกระดาษบนหน้าอกไร้ลมหายใจของบิดา ค่อย ๆ ไล่สายตาอ่านข้อความในจดหมายไม่กี่ตัวอักษรเป็นการลาตาย กระดาษในมือชายหนุ่มสั่นไหว จนกระทั่งร่วงผล็อยตกลงพื้น
“พ่อ !” เขาลนลานเข้าไปประคองร่างบิดา จังหวะนั้นคนรับใช้อย่างป้าเฟืองวิ่งขึ้นมาสมทบ ภาพที่เห็นทำให้คนรับใช้วัยกลางคนชะงักกึกไปชั่วขณะ ยกมือปิดปากร่ำร้องกับภาพสะเทือนใจ
“คุณผู้หญิง” พิมพ์วิไล ร่างร่วงพับไม่อาจทนรับกับสิ่งที่เห็นกับสองตาใจเธอจะขาด ป้าเฟืองปรี่เข้าประคองร่างอ่อนแรงล้มพับ “มีใครอยู่ข้างล่างไหมขึ้นมาหน่อย เอายาดมยาลมมาด้วย” คนรับใช้ร้องหาตัวช่วย
สาวใช้ชื่อนิดวิ่งขึ้นมาด้วยท่าทางตกอกตกใจ พอได้ยินเสียงกัมปนาท ก็ไม่กล้าก้าวขึ้นมา เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ด้านล่าง รู้สึกตกใจจนอกสั่นขวัญหาย
“โธ่...คุณไม่น่าคิดสั้นเลย ไม่คิดถึงใจฉันหรือยังไง ทีนี้ฉันจะอยู่ยังไง” พอฟื้นคืนสติ พิมพ์วิไลเคลื่อนตัวไปยืนร่ำไห้ข้างเตียง ที่มีร่างสามีอาบโลหิต ยื่นมือไปปิดตาสามีสั่นสะท้าน ดวงหน้าเปื้อนด้วยคราบน้ำตา “ยากดีมีจนก็ต้องสู้ไปด้วยกัน ทำไมต้องตัดช่องน้อยอย่างนี้ละ” เรี่ยวแรงแทบหมดสิ้น สองสามีภรรยาอดทนสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยกันมา ตั้งแต่มีแค่กิจการเล็ก ๆ จนกระทั่งใหญ่โต ไม่ว่ามีปัญหาเล็กน้อยก็มักหันหน้าปรึกษาหารือกัน ผ่อนหนักให้เป็นเบา ปัญหาเศรษฐกิจที่บั่นทอน กี่ยุคกี่สมัยก็ยังฝ่าฝันกันมาได้
“เกิดอะไรขึ้นกับพ่อครับแม่” คนเป็นลูกชายใจสะท้านไม่ต่างกับมารดา เขาหอบเอาความสำเร็จด้านการศึกษามาจากเมืองนอก ตั้งใจกลับมาเซอร์ไพรส์ครอบครัว โดยเฉพาะบิดาผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเขามาตลอด บิดาคอยเข้มงวดกวดขันให้เขาตั้งใจเรียน หวังให้เขามารับช่วงกิจการทั้งหมดต่อจากท่าน
พิมพ์วิไลเข้มแข็งต่อไปไม่ไหว คนเป็นลูกจึงปัดคำถามทุกอย่างทิ้งไปก่อน หยิบโทรศัพท์โทร.หาตำรวจ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถตำรวจกับรถพยาบาลจึงแล่นเข้ามาในบ้าน ลงมือเก็บหลักฐาน พร้อมกับนำศพของชัชพงษ์ไปตรวจพิสูจน์ยังโรงพยาบาลตำรวจ
พิมพ์วิไลไม่ติดใจเรื่องการตาย เธอรู้ดีว่าเกิดปัญหาอะไร สองผัวเมียต่างปลอบใจกัน ช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องหนี้สินของบริษัทมาโดยตลอด สู้กันยิบตา แม้แต่บ้านที่สร้างมาจากน้ำพักน้ำแรงยังต้องจำใจนำไปจำนองกับธนาคารเพื่อนำเงินมาใช้หนี้
“ถึงเวลาที่แม่ต้องเล่าให้ผมฟังแล้วนะครับ” คนที่เพิ่งหอบความสำเร็จกลับมาจากต่างประเทศ ย่อกายลงนั่งข้างมารดา เขารู้ว่าในเวลานี้มารดาทุกข์ตรม ไม่ต่างจากเขาเช่นเดียวกัน
“แม่กับพ่อปิดบังเรื่องธุรกิจกับหนี้สินมาตลอด ไม่อยากให้ลูกเป็นกังวล ถ้าลูกรู้ก็คงเป็นกังวลจนเรียนไม่ได้” พิมพ์วิไลลูบหลังมือลูกชายอย่างอ่อนแรง
“ตอนนี้ผมเรียนจบแล้วนะแม่ ขอร้องนะครับ เล่าให้ผมฟังเถอะ” หนุ่มวัยยี่สิบแปดถือเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ปัญหาอะไรน้อยใหญ่เขาเชื่อว่าตัวเองพร้อมรับไปกับบุพการี คนเป็นลูกเสียงสั่นเครือ “เรามีกันอยู่แค่นี้นะแม่” ชีวิตชายหนุ่มสุขสบาย ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา เรียนเมืองนอก ไม่ว่าเสื้อผ้า ของใช้ล้วนเป็นแบรนด์หรูทั้งสิ้น เขากลับไม่เคยรู้เลยว่าเงินทุกบาท ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อความเครียดของพ่อแม่
“เอาละ ๆ แม่พูดก็ได้” พิมพ์วิไลเดินเข้าไปในห้องทำงานของสามี หยิบเอกสารบางอย่างจากในลิ้นชักโต๊ะ เดินมาหยุดต่อหน้าลูก ยื่นให้กับภูดนัย เพื่ออนาคตลูกแล้วเธอต้องปิดบังเรื่องสำคัญที่สุดเอาไว้
“อะไรครับแม่” ภูดนัยมองเอกสารในมือมารดา ด้วยสีหน้าหม่น
“เอกสารใบแจ้งหนี้ และอีกหลาย ๆ อย่างดูซะแม่จะเล่าให้ฟัง” เอกสารต่าง ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะต่อหน้าชายหนุ่ม เขาหยิบขึ้นมาดูรายละเอียดทีละฉบับ เอกสารเหล่านั้นแต่ละฉบับระบุตัวเลข ไม่ใช่หลักหน่วยหลักพัน แต่คือหลักล้าน
“หา !!! แม่ นี่มันเงินรวม ๆ กัน 320 ล้านเลยนะครับ” ลูกชายคนสำคัญของตระกูลตะโกนเสียงหลง ใบหน้าซีดเผือด เมื่อลองคำนวณตัวเลขในเอกสารคร่าว ๆ ทำเอาลมแทบจับ
“อืม...ใช่ ยังมีดอกเบี้ยธนาคารอีกนะภู”
“ทั้งหมดคือฝีมืออาชวิน วัชระ” นึกขึ้นมาแค้นใจ จนแทบกระอักเลือด ไม่คิดว่าคนใกล้ตัวจะมีสันดานโลภโมโทสัน ถึงขนาดโกงกันหน้าด้าน ๆ
“อา...วิน” ภูดนัยรู้จักเพื่อนสนิทของพ่อคนนี้เป็นอย่างดี เขาเข้านอกออกในบ้านดุจญาติมิตร
“ใช่ เงินมันหอมหวาน” คิดถึงเรื่องนี้ความเครียดแทรกเข้ามา จนทำให้ใบหน้าสวยของหญิงวัยกลางคนยับยู่ยี่ ห้าปีของการต้องฝ่าฟัน ประคับประคองหาเงิน มาผ่อนผันหนี้กับธนาคาร บรรดาซัพพลายเออร์ รวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะในบริษัท และโรงงานผลิตยา ไม่ใช่เรื่องง่ายในการประคับประคองให้ผ่านพ้นไปในแต่ละเดือน ทุกอย่างตึงเครียดไปหมด จนถึงจุดสำคัญทำให้สามีตัดสินใจ ปลิดลมหายใจตัวเองด้วยปืนของเขาเอง
“หุ้นส่วนคนสำคัญของพ่อนี่ครับ ทำไมถึงโกงพ่อได้ขนาดนี้ ผมนึกว่าพ่อบริหารผิดพลาด ที่แท้เป็นยังไงกันแน่ครับ” ช่างเป็นข่าวใหม่ที่เขารู้แล้วรู้สึกสะเทือนใจที่สุด
พิมพ์วิไลเล่าให้ทายาทฟังทีละถ้อยคำ ด้วยความปวดร้าว ความหอมหวานของเงินตรามีอานุภาพ ทำลายมิตรภาพยาวนานลงอย่างง่ายดาย
“อาวินอยู่ที่ไหนครับตอนนี้ ผมสาบานจะลากคอมารับผิดชอบสิ่งที่เขาทำไว้กับพวกเรา”
“หายเข้ากลีบเมฆ ตามตัวไม่เจอ” พิมพ์วิไลทุกข์ใจ อดสูสุดจะทานไหว
“หอบเงินของพ่อหนีไปเป็นสามสี่ร้อยล้านนี่นะครับ จิตใจทำด้วยอะไรสารเลวสิ้นดี”
“มันเป็นเวรเป็นกรรมของเรามั้งภู ชาติก่อนเราคงไปทำกับเขาไว้ ชาตินี้เขาเลยมาเอาคืน”
“เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เวรกรรมแน่ เป็นเรื่องความโลภ ไม่รู้จักคำว่ามิตรภาพมากกว่า” เขาไม่เชื่อเรื่องพวกนั้น เชื่อแต่การกระทำเท่านั้น
“เรามาคิดหาทางแก้ไขกันดีกว่าภู จะทำยังไงกับหนี้สินที่เหลืออยู่” จำนวนเงินไม่ได้ลดลงเลยด้วยซ้ำ เงินที่ได้มาแค่ผ่อนดอกเบี้ยกับธนาคาร ในแต่ละเดือน จ่ายค่าวัตถุดิบผลิตยา ไม่ต่างกับน้ำซึมบ่อทราย เทลงไปเท่าไรก็เท่าเดิม
“พ่อมีเพื่อนเยอะ เราไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนพ่อได้นี่ครับแม่” ลูกชายเสนอทางออกที่พอคิดได้
“เพื่อนพ่อนะหรือ” ตอนนี้ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือใด ๆทั้งสิ้น กลัวเดือดร้อนกันทั้งนั้น
“ผมว่าเราควรไปเจรจาขอกู้ อย่างน้อยเอามาโปะบางส่วนก็ยังดี” พ่อแม่เป็นคนกว้างขวาง มีเพื่อนสนิทมิตรสหายเยอะ เชื่อว่าพอเกิดปัญหาเดือดร้อน คนที่เคยคบค้าคงช่วยได้บ้าง
“ในตอนนี้ไม่มีใครยื่นมือช่วยเราหรอกภู” ก่อนหน้านั้นเธอกับชัชพงษ์ลองไปขอความช่วยเหลือจากทินกร เพื่อนที่ทำธุรกิจจิวเวลรี่ ผลที่ได้รับคือการถูกปฏิเสธไม่เหลือเยื่อใย ตอนนั้นรู้สึกตนกับสามี สภาพไม่ต่างกับขอทาน
พิธีสวดศพชัชพงษ์จัดแค่สามวัน จึงเผาตลอดสามวันนับจำนวนคนที่มาร่วมงานได้ จริงที่ว่าเพื่อนแท้หายาก ข้อนี้พิมพ์วิไลตระหนักด้วยคราบน้ำตา เมื่อวันส่งสามีขึ้นสวรรค์ อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย เธอไม่มีเงินจัดงานศพ ดี ๆ ให้กับสามี ลำพังทรัพย์สินที่ขายก็ยังไม่พอใช้หนี้ ไม่ติดใจเรื่องการตายของสามี เชื่อว่าไม่มีเหตุฆาตกรรม จากจดหมายลาตาย หลังอาหารมื้อสุดท้ายที่รับประทานร่วมกันในเย็นวันนั้น สามีดูเครียดหนักสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี ถึงขนาดกินข้าวได้ไม่กี่คำก็ขอตัวขึ้นห้อง
ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากไม่คิดเลยว่า สามีมาด่วนตัดสินด้วยกระสุนปืน แม้แต่ในงานศพที่มีผู้มาร่วมงาน นับจำนวนได้สิบกว่าคน ในสิบกว่าคนมีเจ้าหนี้ที่มาคอยทวงหนี้แปดคน พิมพ์วิไลจำต้องถอดสร้อยถอดแหวนใช้หนี้ไปก่อน สิ้นแล้วจริง ๆ สิ้นเนื้อประดาตัว
น้ำพักน้ำแรงที่สร้างสมกันมา เห็นกันในยามยาก เพื่อนฝูงที่เคยกินเคยเที่ยว เพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาต่างใส่หน้ากากเข้าหากัน นี่กระมังที่เขาพูดกันว่าคนเราจะเห็นกันเมื่อยามกทุกข์ยามยาก เธอได้ประจักษ์กับตัวแล้วในวันนี้