เจอกันครั้งแรก(1)
ตอนที่ 3
เจอกันครั้งเเรก
วันนี้มีเคสด่วนฉุกเฉินและหมอเวรไม่สบายกะทันหัน ณัฐวัฒน์จึงต้องเสียสละไปดูแลคนไข้แทน วีรศิลป์จึงอยู่พูดคุยกับภูริชโดยมีกรองแก้วยืนอยู่ข้างๆ
หญิงสาวไม่ค่อยไว้ใจอีกฝ่าย ถึงเขาจะหน้าตาดีและดูภูมิฐาน แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นคนแปลกหน้าที่ต้องมาอาศัยร่วมบ้านกับเธอ
“คุณพอจะจำอะไรได้บ้างไหม”
ชายวัยกลางคนพยายามซักถามข้อมูลเผื่อว่าจะช่วยกระตุ้นความทรงจำของอีกฝ่ายได้ แต่ภูริชก็จำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง นอกจากเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เขาจะฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาล
ชายหนุ่มจำได้เพียงว่าเขากำลังขับรถและจู่ๆก็มีกลุ่มคนขับมอเตอร์ไซค์ตาม หลังจากนั้นเขาก็ถูกพวกมันตัดหน้าจนรถเสียหลักกลิ้งลงเนินเขาและนั่นคือภาพสุดท้ายที่เขาจำได้
“ผมจำได้แค่โดนทำร้ายแล้วก็จำอะไรไม่ได้เลย”
เขาจะค่อยๆเรียบเรียงเหตุการณ์ให้อีกฝ่ายฟัง ไม่รู้ว่าทำไมทั้งที่เขาควรจะระแวงคนแปลกหน้า แต่กลับกลายเป็นว่าเขารู้สึกไว้วางใจชายวัยกลางคน ถึงขั้นยอมเล่าทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟัง ความรู้สึกในใจบางอย่างมันบอกว่าสองคนพ่อลูกนี้ไว้ใจได้
วีรศิลป์ที่ได้ยินแบบนั้นก็มีสีหน้าเป็นกังวล ความจริงแล้วที่แห่งนี้มีผู้มีอิทธิพลชุกชุมพอสมควร ตัวเขาอยู่มานานจึงรู้ตื้นลึกหนาบางเป็นอย่างดี และสงสัยว่าภูริชนั้นไปทำอะไรขัดแข้งขัดขาและแย่งชิงผลประโยชน์ของผู้อื่นมาหรือเปล่าจึงถูกทำร้ายแบบนี้
ถึงอย่างนั้นเขาก็มีมารยาทพอที่จะไม่ถามออกไป อีกอย่างรู้ดีว่าต่อให้ถามอีกฝ่ายก็จำไม่ได้
“เดี๋ยวทางกู้ภัยเขาจะช่วยตามหาญาติให้ ระหว่างนี้คุณก็อาศัยอยู่ที่นี่ไปก่อน”
ภูริชไม่เข้าใจว่าทำไมวีรศิลป์ถึงต้องเอื้อเฟื้อเขาขนาดนี้ อีกอย่างชายวัยกลางคนก็มีลูกสาว แต่จู่ๆก็เชิญชวนคนแปลกหน้าอย่างเขาให้มาอาศัยอยู่ด้วยกัน ทำให้ภูริชนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายไม่เป็นห่วงลูกสาวบ้างหรืออย่างไร
“จะดีหรือครับคุณหมอ ถึงผมจะจำอะไรไม่ได้แต่ผมก็เป็นผู้ชาย ขนาดตัวผมยังไม่ไว้ใจตัวเอง แล้วทำไมคุณถึงกล้าไว้ใจผมซึ่งเป็นคนแปลกหน้า”
คุณหมอวัยกลางคนได้ยินแบบนั้นก็ยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ผมเจอคนมามาก สัมผัสคนมาหลากหลายรูปแบบ ต่อให้คุณพยายามปกปิดตัวเองมากแค่ไหน แต่เมื่อไหร่ที่ผมมองตาผมก็อ่านใจคุณออก”
วีรศิลป์ใช้ชีวิตมาถึงทุกวันนี้ อยู่รอดปลอดภัยท่ามกลางดงเสือสิงห์กระทิงแรด นั่นก็เป็นเพราะว่าเขารู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์รู้ว่าควรจะวางตัวกับใครยังไง ซึ่งการสังเกตนิสัยของคนก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เขานั้นมักจะเรียนรู้อยู่เสมอ และสามารถมองได้แม่นยำ
อย่างภูริช เขารู้สึกว่าชายหนุ่มนั้นมีมาดของความเป็นผู้นำ ดูแล้วน่าจะมาจากครอบครัวที่ดี ผิวพรรณสะอาดสะอ้านแววตามุ่งมั่น ที่สำคัญถึงจะดูดุดันแต่ก็ไม่ได้ดูมีเล่ห์เหลี่ยมหรือมีพิษมีภัยอะไร
“ขอบคุณคุณหมอนะครับที่เมตตาผม ถ้า วันนึงผมหาย ผมจะตอบแทนบุญคุณคุณหมอแน่นอนครับ”
ภูริชไม่อยากรับความช่วยเหลือจากใครฟรีๆ แต่เพราะเขารู้สึกว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยได้รับน้ำใจแบบนี้เลยสักครั้ง ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
“ผมมีอีกเรื่องอยากขอร้องคุณหมอ อย่าบอกใครได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม”