ช่วยชีวิต(3)
ชายหนุ่มพูดเสียงสร้างความเชื่อมั่น เมื่อเห็นหญิงสาวยืนกอดอกมองดูท่าทางเก้ๆกังๆ
“พอเถอะค่ะ แก้วแค่ล้อเล่น รู้อยู่แล้วว่าพี่นัดปอกไม่เป็นหรอก”
หญิงสาวเอ่ยพรางหัวเราะก่อนที่เธอจะแย่งทุเรียนมาปอกเอง หลังจากที่จัดการปอกทุเรียนใส่กล่องเสร็จแล้ว กรองแก้วก็ยกอาหารมาวางบนแคร่ ถึงพ่อของเธอจะเป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิด แต่เขาก็ชื่นชอบวิถีชีวิตชาวเหนือ จนมาอยู่ที่นี่ได้หลายปีและไม่คิดจะไปไหน
นอกเหนือจากอาหารแล้ว พ่อก็ยังชอบเฟอร์นิเจอร์แบบดั้งเดิมของคนที่นี่อีกด้วย ทำให้บ้านของเธอไม่มีอะไรที่มินิมอลเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
“อยู่กรุงเทพฯเป็นยังไงบ้าง รู้สึกไม่อยากกลับบ้านบ้างไหม”
ชายหนุ่มเอ่ยถามขณะที่กำลังนั่งกินอาหารกับหญิงสาว เมื่อครั้งที่เขายังเรียนแพทย์อยู่ที่นั่น เขามัวแต่หลงแสงสีเสียงจนแทบไม่อยากจะออกต่างจังหวัดเลย แต่พอได้มาใกล้ชิดธรรมชาติเขาก็เริ่มลืม ความวุ่นวายในเมืองใหญ่
“จริงๆมันไม่สำคัญหรอกค่ะว่าจะอยู่ที่ไหน ขอแค่พ่ออยู่ด้วยก็พอ ต่อให้ต้องอยู่ในที่วุ่นวายแบบนั้นแก้วก็ไม่ติดนะคะ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้น ตัวเธอไม่ได้ยึดติดกับสถานที่ แต่เธอเป็นคนติดพ่อมาก เมื่อรู้ว่าพ่อจะส่งไปเรียนมหาลัยในกรุงเทพฯตอนแรกเธอก็ไม่ยอมและพยายามคัดค้าน แต่เมื่อได้ฟังพ่ออธิบายเหตุผลเธอก็ยอม
“เด็กติดพ่อนี่เอง”
หญิงสาวได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะ เธอกับณัฐวัฒน์สนิทสนมกันมานาน เพราะเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันสมัยที่พ่อของเธอไปเป็นหมออยู่โรงพยาบาลในจังหวัดจันทบุรี ตอนนั้นณัฐวัฒน์เป็น รุ่นพี่และคอยดูแลเธอซึ่งเป็นเด็กใหม่ เขาดีกับเธอมากทำให้สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
“ว่าแต่พี่นัดเถอะ คิดยังไงถึงมาเป็นหมออยู่ที่นี่”
ทุกวันนี้เธอก็ยังไม่เข้าใจ ว่าอะไรที่ทำให้ณัฐวัฒน์ตัดสินใจย้ายมาเป็นหมอที่โรงพยาบาลแห่งนี้ หากเทียบกับโรงพยาบาลในจันทบุรีแล้ว ที่นี่ถือว่าเป็นถิ่นทุรกันดารเลยทีเดียว บางพื้นที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ด้วยซ้ำ ยามค่ำคืนก็มืดสนิทไม่มีแสงสีเสียงอย่างที่ ชายหนุ่มชอบ
“พี่ก็แค่อยากใกล้ชิดธรรมชาติ”
“จริงเหรอคะ ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบพี่จะชอบธรรมชาติ”
กรองเเก้วหรี่ตามองชายหนุ่มรุ่นพี่ เธอไม่ได้เชื่อที่เขาบอก เพราะรู้สึกว่าลึกๆในใจของเขามีเหตุผลอื่นที่ทำให้อยากย้ายมาอยู่ที่นี่
“คนเราก็เปลี่ยนแปลงกันได้ กินเถอะ ข้าวเหนียวเย็นหมดแล้ว”
ชายหนุ่มตัดบท เขายังไม่พร้อมที่จะบอก ความในใจหญิงสาวตอนนี้เพราะกลัวว่าความสัมพันธ์จะขาดสะบั้นลง ได้แต่เก็บสิ่งที่อยู่ในใจเอาไว้รอเวลาเหมาะสมค่อยเปิดเผยมัน
หลายวันต่อมาที่โรงพยาบาล ณัฐวัฒน์และ วีรศิลป์ยืนอยู่ข้างเตียงของภูริช เขามองทั้งสองสลับไปมาก่อนจะขมวดคิ้วแน่น ชายหนุ่มจำอะไรไม่ได้เลย เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร จำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อตัวเอง
“คุณจำอะไรไม่ได้เลยหรือครับ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเมื่อได้ยินคำถามนั้น เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น มีเพียงสิ่งเดียวที่จำได้คือเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เขาจะตกเหวลงไป และนั่นเป็นเพียงเหตุการณ์เดียวที่ฝังอยู่ในหัวสมองของเขา
วีรศิลป์และณัฐวัฒน์ปรึกษากัน เนื่องจากว่า ภูริชนั้นกลายเป็นคนไข้ไร้ญาติ และเขาไม่สามารถอาศัยอยู่ในโรงพยาบาลได้ เนื่องจากเตียงมีจำกัดและมีผู้ป่วยอาการหนักอีกหลายคนที่จำเป็นต้องใช้เตียงนี้ ทำให้วีรศิลป์ตัดสินใจพาชายหนุ่มกลับมาที่บ้าน แต่ณัฐวัฒน์ไม่เห็นด้วยเพราะเขาเป็นห่วงกรองแก้ว อีกทั้งยังไม่ไหวใจภูริช คิดว่าอีกฝ่ายนั้นแกล้งทำเป็นความจำเสื่อม เนื่องจากเขาไม่เคยเจอคนไข้เคสแบบนี้มาก่อนจึงไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลย
“จะดีหรือครับลุงวี เขาดูไม่น่าไว้ใจ”
ชายหนุ่มพยายามทักท้วง แต่ถึงอย่างนั้น วีรศิลป์ก็ไม่เปลี่ยนใจ เขารู้สึกสงสารภูริช เห็นแววตาเลื่อนลอยของอีกฝ่ายแล้วก็อดไม่ได้ที่จะให้ ความช่วยเหลือ
“ลุงว่าไม่มีอะไรหรอก เขาก็ดูซื่อๆนะ”
วีรศิลป์พบเจอผู้คนมามาก พอจะดูออกว่าใครดีใครร้าย และเท่าที่เห็นภูริชก็ไม่ใช่คนที่ดูร้ายกาจอะไร และในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเขาไม่สามารถทิ้งขว้างอีกฝ่ายได้ คนที่ความจำเสื่อมแบบนี้จดจำไม่ได้แม้แต่ชื่อตัวเองหากไม่มีคนดูแลก็กลัวว่าจะได้รับอันตราย
“เอาเถอะ ไม่ต้องห่วง ลุงยังสติดีอยู่ คงไม่พาโจรเข้าบ้านให้ทำร้ายลูกสาวหรอกนะ”
ถึงจะได้ยินแบบนั้นแต่ณัฐวัฒน์ก็ไม่สบายใจ เขาเป็นห่วงกรองแก้วมาก ทั้งกลัวว่าหญิงสาวจะได้รับอันตรายจากคนแปลกหน้า
“ถ้าลุงวีตัดสินใจแล้วผมก็คงทำอะไรไม่ได้”
วีรศิลป์แตะไหล่ชายรุ่นลูก ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้น
“แก้วเขาเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของลุง เป็นเหมือนดวงใจของลุง ลุงไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายเขาได้หรอก ไม่ต้องห่วง ลุงไตร่ตรองดีแล้วถึงได้ตัดสินใจแบบนี้”
ภูริชจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อตัวเอง เขาคงไม่มี กะจิตกะใจจะไปทำเรื่องเลวร้ายอย่างที่อีกฝ่ายกังวล วีรศิลป์ลองประเมินสถานการณ์แล้ว หากความทรงจำของชายหนุ่มหายไปเพียงชั่วคราว อีกไม่นานเขาก็คงพอจำอะไรได้บ้าง
“เรารีบไปกันเถอะ ลุงโทรบอกแก้วแล้วว่าให้เตรียมห้องนอน ป่านนี้คงปัดกวาดเช็ดถูเสร็จแล้วล่ะ”
ทั้งสองพาภูริชที่ยังคงงุนงงขึ้นรถ ก่อนจะมุ่งตรงกลับไปที่บ้านของวีรศิลป์ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลเท่าไหร่นัก
ชายหนุ่มที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมารู้สึกหวาดระแวง เขามองหมอต่างวัยทั้งสองด้วยสายตา ไม่ไว้ใจก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง หวังว่าจะมีอะไรช่วยกระตุ้นความทรงจำได้บ้าง