บทที่ 4 คนในกรอบรูป
ช่วงบ่ายของวันถัดมา พอถึงเวลาเลิกเรียน พริมาก็รีบกลับบ้าน หล่อนกำลังนึกถึงต้นไม้ที่ขนไปวางไว้ริมสวนผัก ไม่รู้ว่าใครจะนำมันไปปลูก ถ้าหากคุณยายลงมือทำเอง หล่อนก็ต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยทำด้วย
เมื่อกลับมาถึง พริมาก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตรงไปยังหลังบ้าน แต่กลับพบว่าที่ตรงนั้นว่างเปล่า ต้นไม้ในถุงเพาะสีดำนับสิบต้นที่ขนมาเมื่อวานนั้นหายไปแล้ว
เด็กสาวเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยหวังจะถามใครสักคน ซึ่งเป็นจังหวะที่พิมพ์ใจเดินออกมาจากห้องครัวพอดี
“น้าพิมพ์เห็นต้นไม้ที่วางใกล้สวนผักหลังบ้านไหมคะ เมื่อวานหนูช่วยลุงนวยขนไปวางไว้ แต่ตอนนี้มันหายไปแล้ว หนูมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นต้นไม้ปลูกใหม่สักต้น”
“ต้นไม้มงคลที่คุณยายซื้อมาใช่ไหม ใครเขาปลูกกลางแจ้งกันล่ะ คุณยายเอาลงกระถางไปหมดแล้ว”
“คุณยายทำเองหรือคะ ต้นไม้ตั้งหลายต้น คุณยายทำไหวได้ยังไง คุณยายน่าจะรอให้หนูกลับมาจากมหา’ลัยก่อน หนูจะได้ช่วยคุณยายทำด้วย”
พริมาออกอาการค้านสุดฤทธิ์ จนคนที่เดินมาใกล้แล้วได้ยินอดที่จะโต้ตอบไม่ได้
“ทำไมฉันต้องรอให้เธอกลับมาก่อน ต้นไม้ฉันซื้อมาเอง ฉันจะลงกระถางเมื่อไรก็เรื่องของฉันสิ”
พริมาทำคอย่นเมื่อหันไปเผชิญกับเจ้าของเสียง แม้แววตาของหญิงชราไม่ได้ส่อแววว่าจริงจัง หากติดอารมณ์ขันเสียด้วยซ้ำ แต่หล่อนก็รู้สึกกริ่งเกรงอยู่ดี โทษฐานที่ทำให้หญิงชราเข้าใจผิดว่าหล่อนสำคัญตนมากไป
“หนูกลัวคุณยายเหนื่อยค่ะ วันนี้พอเรียนเสร็จ หนูก็รีบกลับมาบ้าน เพราะจะช่วยคุณยายปลูกต้นไม้”
“งั้นก็ดี ฉันปลูกลงในกระถางเสร็จแล้ว แต่ถ้าเธออยากจะทำด้วย ก็ช่วยขนกระถางทุกใบไปไว้ที่บ้านโน้นก็แล้วกัน”
‘บ้านโน้น’ คือบ้านหลังไหน พริมาเองก็ไม่รู้ หล่อนกำลังงุนงง เพราะคนพูดไม่ได้ระบุชัดเจน แถมไม่ได้ชี้บอกทิศทางด้วย
“บ้านหลังไหนคะ”
“บ้านของลูกชายฉัน”
เจ้าของคำสั่งเดินจากไปแล้ว แถมพิมพ์ใจก็หายไปด้วย ปล่อยให้คนรับคำสั่งยืนกะพริบตาอยู่ที่เดิม...คำตอบของคุณยายจิราไม่ได้ทำให้หล่อนกระจ่างขึ้นสักนิด
“บ้านหลังโน้น...เห็นไหม บ้านที่มีหลังคาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำนั่นแหละ”
ลุงนวยซึ่งเป็นคนขับรถช่วยไขปริศนาด้วยการชี้ไปยังบ้านที่มีกำแพงติดกับบ้านหลังที่พริมาพักอาศัย แต่เนื่องจากบ้านทั้งสองหลังมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ดังนั้นหล่อนจึงเห็นบ้านหลังเป้าหมายไม่ชัดอยู่ดี...แต่มันก็ช่วยให้หล่อนคลำทางไปได้
“แพงต้องเดินออกถนนในซอยเพื่อเข้าทางประตูใหญ่ของบ้านคุณนิค เพราะบ้านทั้งสองหลังยังไม่ทำทางเชื่อม เดี๋ยวลุงจะหารถเข็นช่วยเราขนต้นไม้ไปให้ แต่เราต้องเอากระถางต้นไม้เข้าไปเก็บในบ้านหลังนั้นเองนะ เพราะคุณนิคไม่ชอบให้คนเข้าไปเกะกะ”
“แล้วเขาไม่ว่าหนูเหรอ หนูก็เข้าไปเกะกะในบ้านของเขานะ”
“ไม่ว่าหรอก เพราะคุณยายสั่งให้แพงทำนี่นา อีกอย่าง...คุณนิคก็ไม่ได้อยู่บ้านด้วย”
‘อ้าว! งั้นหนูจะเข้าไปในบ้านหลังนั้นได้ยังไง’
“ขอกุญแจจากน้าพิมพ์ของเราสิ เขาถือกุญแจสำรองบ้านคุณนิคอยู่”
“ขอบคุณมากจ้ะลุง งั้นหนูไปขอกุญแจจากน้าพิมพ์ก่อน แล้วลุงก็อย่าลืมช่วยหนูเข็นกระถางต้นไม้ด้วยนะ”
เรื่องของเรื่องก็คือพริมาอยากได้ใครสักคนไปเป็นเพื่อน ถึงลุงนวยจะเข้าไปในบ้านหลังนั้นด้วยกันไม่ได้ก็ไม่เป็น ขอเพียงยืนรอหล่อนอยู่ตรงหน้าประตูรั้วบ้านก็พอ...แค่นึกภาพบ้านหลังใหญ่ไร้คนอาศัย พริมาก็รู้สึกขยาด เพราะบรรยากาศมันคงวังเวงพิลึก
บ้านหลังใหญ่ที่มีหลังคาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำซึ่งมีกำแพงติดกับบ้านของคุณยายไม่ได้อับทึบอย่างที่คิด…
พริมาขนกระถางต้นไม้มาวางเรียงกันในบ้าน ตรงพื้นที่ใกล้กับห้องโถงใหญ่ตามที่พิมพ์ใจบอกไว้
‘แพงขนกระถางไปวางข้างในบ้านก็พอ พรุ่งนี้แม่บ้านมาทำงาน เดี๋ยวเขาจัดการต่อเอง’
‘บ้านหลังนั้นมีแม่บ้านด้วยหรือคะ หนูคิดว่าไม่มีคนอยู่เสียอีก’
‘แม่บ้านไม่ได้อยู่ประจำ เขามาทำงานให้คุณนิคสัปดาห์ละสามวัน เขาเป็นคนงานที่บ้านของเพื่อนคุณนิค บ้านหลังที่อยู่ถัดไปจากบ้านคุณนิคนั่นแหละ พวกเขารู้จักกัน ฝากให้ดูแลบ้านกันได้’
ประหลาดดี...ทำไมลูกชายของคุณยายถึงไม่ให้คนงานที่บ้านมาทำงานให้ เพราะดูแล้วคนทำงานก็มีเหลือเฟือ พริมาเองก็ไม่ค่อยมีงานให้ทำเป็นชิ้นเป็นอัน มีเพียงวันหยุดเท่านั้นที่หล่อนได้รับใช้คุณยายอย่างใกล้ชิด พอให้รู้สึกว่าตนได้ทำงานคุ้มค่าจ้างอยู่บ้าง
พริมาขนกระถางไม้มงคลจำนวนสิบสองกระถางจากรถเข็นที่ลุงนวยเข็นมาส่งถึงหน้าประตูรั้วเข้ามาวางในบ้านจนครบแล้ว เด็กสาวกวาดสายตามองไปรอบๆ ขณะสะบัดแขนสองข้างอย่างต้องการไล่ความเมื่อยล้า
“บ้านน่าอยู่จัง”
บ้านหลังนี้ค่อนข้างโล่งกว้าง มีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น หากให้ความรู้สึกถึงความพอดี การตกแต่งก็แปลกตากว่าบ้านของคุณยาย เด็กสาวพยายามมองตามผนังบ้าน หวังจะเห็นรูปถ่ายของเจ้าของบ้านตามที่เคยเห็นในฉากละคร...บ้านของคนรวยมักจะมีภาพถ่ายขนาดใหญ่ติดตามผนัง อย่างเช่นภาพถ่ายวันแต่งงานหรือภาพถ่ายของครอบครัว หากสำหรับบ้านหลังนี้ แม้พยายามมองหาอย่างไร เด็กสาวก็ไม่เห็นสิ่งที่อยากจะเห็น
คุณนิคแต่งงานหรือยัง เขามีครอบครัวหรือเปล่า
คำถามผุดขึ้นมาในหัว พริมากำลังนึกว่าถ้าลูกชายของคุณยายแต่งงานแล้ว เขาก็น่าจะมีลูกด้วย ซึ่งลูกของเขาคงน่ารักไม่แพ้หนูน้อยวาตะและมาวิน
คุณยายสวย ถึงคุณยายจะอายุมากแล้ว แต่ก็ดูออกว่าสมัยสาวๆ ต้องสวยมาก ส่วนคุณทับทิมก็เป็นผู้หญิงที่สวยเนี้ยบทั้งตัว คุณนิคก็คงไม่แพ้กัน ได้ยินคุณยายบอกว่าเขาหล่อมากด้วย ถ้าเขามีลูกก็คงน่ารักเหมือนกัน ชักอยากเห็นแล้วสิ
พริมายิ้มกับตัวเอง หัวใจของหล่อนพองโต นึกดีใจหากคุณยายมีลูกหลานหลายคน ไม่ใช่คนแก่ที่โดดเดี่ยวอย่างที่เข้าใจในทีแรก
เด็กสาวหมุนกายทำท่าจะเดินกลับออกไปเมื่อคิดว่าตนอยู่ในบ้านหลังนี้นานแล้ว หากหางตาแลเห็นบางสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง
ด้วยความอยากรู้ พริมาจึงตรงปรี่ไปหา หล่อนหยิบกรอบรูปขึ้นมาดู ภายในบ้านมีแสงสลัว เพราะหล่อนไม่ได้เปิดไฟสักดวง ทำให้ต้องหยิบมันมาเขม้นมองใกล้ๆ
เรียวปากสวยแย้มกว้างเมื่อเห็นรูปถ่ายของคุณยายที่ดูอ่อนวัยกว่าปัจจุบันหลายปี ในภาพนี้มีผู้หญิงวัยเริ่มสาวซึ่งมีเค้าหน้าของคุณทับทิมอย่างชัดเจน และยังมีเด็กผู้ชายวัยรุ่นอีกคน คะเนอายุราว 15-16 ปี เขาอยู่ในเครื่องแต่งกายแปลกตา
“เครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนประจำในต่างประเทศนี่นา...ตึกเรียนข้างหลังก็ไม่ใช่โรงเรียนในเมืองไทย ว่าแต่เขาเรียนที่ประเทศอะไร”
ไม่ต้องมีใครบอก พริมาก็รู้ว่านี่คือผู้ชายคนที่หล่อนตามหาด้วยอยากรู้ว่าหน้าตาของเขาเป็นอย่างไร ซึ่งไม่ผิดจากที่คาดไว้เลย พริมาขอยกให้ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวคนหน้าตาดี
“หน้าตาดีทั้งบ้าน...ตั้งแต่คุณยาย คุณทับทิม จนถึงคุณหนูวาตะกับมาวิน แล้วน้าชายอย่างเขาจะหลุดโผไปได้ยังไง”
เมื่อเห็นรูปถ่ายตอนวัยรุ่นของเขาแล้ว พริมานึกอยากเห็นรูปถ่ายในวัยหนุ่มของเขาด้วย หล่อนกวาดสายตามองกรอบรูปที่วางซ้อนบนโต๊ะทีละชิ้น กระทั่งเจอชิ้นที่หมายตา เด็กสาวรีบคว้ามันขึ้นมาทันที แต่ด้วยไม่ทันระมัดระวัง หล่อนจึงทำให้กรอบรูปอีกชิ้นเลื่อนหลุดจากขอบโต๊ะ
เด็กสาวใจหายวาบ รีบคว้ามันไว้ก่อนจะตกสู่พื้น ซึ่งหล่อนทำได้สำเร็จ กรอบรูปชิ้นนั้นอยู่ในมือของหล่อนแล้ว ทว่าเสี้ยววินาทีถัดมา เสียงที่แทรกความเงียบสงัดเข้ามาก็ทำให้หัวใจของพริมากระตุก
แครก!
กรอบรูปที่หล่อนหมายตาซึ่งถือไว้ในมืออีกข้างกลับตกกระทบพื้นแทน พริมาค่อยๆ หยิบมันขึ้นมา...มันไม่แตกกระจาย แต่มีรอยร้าวไปทั่ว เด็กสาวก็แทบร้องไห้
“ทำไงดีๆ”
พริมาพร่ำถามตัวเองด้วยความร้อนรน หล่อนหันรีหันขวาง วูบหนึ่งนั้นหล่อนคิดจะทำลายหลักฐาน
เอาไปทิ้งดีไหม...
เด็กสาวก้มมองรูปถ่ายในกรอบรูปที่แตกร้าว หล่อนเห็นผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาซึ่งอยู่ในสูทสีขรึม รอยยิ้มละมุนละไมของเขาเข้ากันดีกับแสงแดดอ่อนๆ ที่สาดเข้ามา...หล่อนนึกถึงรูปถ่ายของย่าที่เก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือของตัวเอง รูปเหล่านั้นมีคุณค่าต่อจิตใจ หากมีเหตุให้มันหายไป หัวใจของหล่อนคงขาดรอนๆ
พริมามองคนในกรอบรูปอย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจหย่อนมันลงไปในถุงพลาสติกที่มีเศษดินอยู่ก้นถุงอย่างระมัดระวัง