บทที่ 3 คนในกรอบรูป
นับตั้งแต่วันแรกที่ตื่นขึ้นมาในบ้านของคุณยายจิรา กระทั่งถึงวันนี้ก็ผ่านไปนานนับเดือนแล้ว พริมาได้รับการเอื้อเฟื้อเป็นอย่างมากจนคาดคิดไม่ถึง เด็กสาวตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง หล่อนจะตั้งใจเรียนและตั้งใจทำงาน ส่วนค่าเล่าเรียนที่คุณทับทิมหยิบยื่นให้นั้น หล่อนจะใช้คืนหลังจากเรียนจบ…แม้คุณทับทิมได้ออกปากว่าไม่ต้องการเงินคืน ขอเพียงพริมาดูแลคุณยายจิราให้ดีที่สุดก็ตาม
“ย่าไม่ต้องห่วงแพงแล้วนะจ๊ะ แพงมีบ้านให้อยู่แล้ว เจ้าของบ้านใจดีมาก แพงได้เรียนหนังสือด้วย อ้อ! แพงขอบคุณน้าพิมพ์กับนุชที่ช่วยให้แพงมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ไปแล้ว ถ้าไม่มีพวกเขาสองคน แพงก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไง แพงจะไม่ลืมบุญคุณของทุกคนเลยจ้ะ”
พริมาพูดกับรูปถ่ายของย่าที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ หล่อนมองรอยยิ้มของหญิงชราแล้วยิ้มตามด้วยอารมณ์สุขปนเศร้า
วันนั้นย่าพาพริมาไปทำบุญที่วัด นึกอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ หล่อนจึงฉวยโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปย่าเสียยกใหญ่ ไม่วายที่ย่าจะบอกให้หล่อนหยุดถ่ายโดยที่ย่าเองก็หัวเราะขำหล่อนไปด้วย
‘ถ่ายทำไมนักหนา ไปถ่ายดอกไม้ถ่ายผีเสื้อเก็บไว้ในโทรศัพท์ดีกว่ามาถ่ายรูปคนแก่’
‘ย่าของแพงสวยมาก สวยกว่าดอกไม้ สวยกว่าผีเสื้อ แพงจะเก็บรูปของย่าไว้ในโทรศัพท์มือถือ’
พริมาไม่ได้คิดไปเอง แต่หล่อนเพ่งมองหลายรอบแล้ว รูปถ่ายชุดนี้ของย่าช่างสวยและสดใสเหลือเกิน วันนั้นหล่อนกับย่ามีความสุข ย่าอารมณ์ดี ย่ายิ้มสรวลตลอดเวลา ไม่ว่าหล่อนทำอะไรก็ถูกใจย่าไปเสียหมด
หากใครจะรู้ว่าความสุขครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่พริมาได้รับจากย่า เพราะเพียงวันต่อมาในเวลาบ่ายสองโมงเศษ หล่อนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็เห็นย่าล้มลงไปนอนบนพื้นแล้ว หล่อนตกใจกลัว แต่ยังตั้งสติเรียกรถจากโรงพยาบาลมารับย่าในเวลารวดเร็วได้ แม้หมอและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจะพยายามมากเพียงใด พวกเขาก็ยื้อชีวิตของย่าไว้ไม่ได้...สุดท้ายย่าก็จากไปด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันตามคำวินิจฉัยของหมอ
พริมาหลับตาลงเมื่อนึกถึงคำพูดของคนคนหนึ่ง คำพูดนั้นยังดังก้องอยู่ในหัว หลังจากที่หล่อนโทร.ไปบอกข่าวร้ายให้เขารู้
‘เธอดูแลแม่ของฉันประสาอะไร แม่ถึงเป็นลมจนตายได้’
‘ย่ามีโรคประจำตัวค่ะพ่อ แต่ย่าก็ดูแลตัวเองดี ย่าพบหมอเป็นประจำ ส่วนยาก็กินตามหมอสั่งไม่ขาด แต่แพงก็ไม่รู้ว่าทำไมย่าถึงจากไป’
‘เธอรู้ว่าแม่ของฉันป่วย เธอก็ควรดูแลให้ดีกว่านี้ ฉันรู้มาว่าแม่นอนไม่ได้สติตั้งนานกว่าเธอจะไปเจอ’
พอพูดจบ พ่อก็ตัดสายไปดื้อๆ...พ่อไม่รอฟังคำอธิบายจากพริมา หัวใจของเด็กสาวอ่อนเพลียไปหมด ในเวลานั้นหล่อนอยากบอกพ่อว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย หล่อนเข้าใจดีว่าพ่อเสียใจ หากตัวหล่อนเองก็เสียใจและรู้สึกช็อกไม่น้อยกว่ากัน
‘อย่าคิดมากนะแพง พ่อของเธอไม่ได้อยู่กับย่า เขาไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาคงพูดเพราะเสียใจ ฉันคิดว่าเขาอาจรู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูแลแม่ของตัวเองด้วยซ้ำ เขาก็เลยเกรี้ยวกราดเอากับเธอ’
มันเป็นกลไกปกป้องตัวเองจากความรู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ แต่ทำไมพ่อต้องมาลงกับหล่อนด้วยเล่า หล่อนก็เป็นลูกของพ่อคนหนึ่งนะ...ถ้าพ่อยังไม่ลืมความจริงข้อนี้
‘ตัวเธอเองก็เหมือนกัน อย่ารู้สึกผิดเชียวนะ ทุกคนแถวนี้รู้ว่าเธอดูแลย่าดีแค่ไหน ถ้าชุมชนของเรามีการประกวดหลานยอดกตัญญู ฉันจะส่งเธอเข้าประกวด รับรองว่ากวาดรางวัลมาได้ทุกปี’
พริมาปาดน้ำตาออกจากแก้ม คำปลอบโยนของนุชรีผู้เป็นเพื่อนสนิททำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้น หากลึกๆ แล้วหล่อนก็ตัดความรู้สึกผิดออกจากใจไม่ได้ ยังคงนึกโทษตัวเองทุกเวลา เพราะตอนเกิดเหตุนั้นหล่อนออกไปตากผ้าอยู่หลังบ้าน แล้วแมวของเพื่อนบ้านก็ลอดรั้วเข้ามา หล่อนเล่นกับมันเพลิน นานนับสิบนาทีกว่าจะปล่อยให้มันกลับไป จากนั้นหล่อนก็กลับเข้าไปในบ้าน แล้วจึงเห็นย่านอนหมดสติอยู่บนพื้นกลางบ้านแล้ว
ถ้าตอนนั้นเราอยู่ในบ้านกับย่า...
ถ้าตอนนั้นเราไม่มัวแต่เล่นกับแมว..
ถ้าวันนั้นเราซักผ้าตอนเช้าตามปกติ แทนที่จะเป็นตอนบ่าย…
ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ...หากพริมาต้องยอมรับความจริงว่าหล่อนไม่มีทางหมุนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้อีก
เด็กสาวจมอยู่กับความหม่นหมองที่เกาะติดหัวใจ นับตั้งแต่วันที่ย่าจากไป ไม่มีวันไหนเลยที่หล่อนจะไม่ทนทุกข์อยู่กับความคิดถึงและความโหยหา มีเพียงความหวังว่าวันเวลาจะช่วยให้ความทรมานนี้คลายลง
เสียงเคาะประตูห้องพักดังขึ้นในจังหวะที่คุ้นเคย พริมาลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงโต๊ะไม้มุมห้อง แล้วไปเปิดประตูห้องพัก
“คุณยายจะออกไปซื้อต้นไม้ เดี๋ยวแพงไปกับคุณยายนะ”
พิมพ์ใจกวาดสายตาพินิจคนในชุดนักศึกษาที่ยืนตรงหน้า ดวงตาของเจ้าตัวแดงช้ำ แต่เธอไม่ได้ทักถาม เพราะรู้ดีว่าเมื่อไรที่เด็กสาวหลบเข้ามาอยู่ในห้องตามลำพังก็มักหนีไม่พ้นแอบมาร้องไห้
“ได้ค่ะ แพงขอเปลี่ยนเสื้อผ้าสักห้านาทีนะคะ แล้วจะรีบไปค่ะ”
เสียงขึ้นจมูกเหมือนคนเป็นหวัด ซึ่งทำให้พริมารู้ตัวว่าสภาพของตนเป็นอย่างไร หากพิมพ์ใจก็ไม่ได้ทำให้หล่อนอึดอัดใจ นอกจากบอกเสียงเรียบ
“ล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อยก่อนออกไปด้วย”
ร้านขายต้นไม้อยู่ถัดออกไปสามซอย ในทีแรกคุณยายจิราจะขับรถไปกับพริมากันสองคน แต่ทนคำคัดค้านของพิมพ์ใจไม่ได้ ในที่สุดนางจึงยอมให้คนขับรถขับไปให้
หากก่อนที่พริมาจะเข้าไปนั่งในรถคู่กับคนขับ โดยที่คุณยายนั่งเป็นสง่าอยู่ทางตอนหลังเรียบร้อยแล้ว พิมพ์ใจก็บอกเด็กสาวด้วยระดับเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน
“ถ้าคุณทับทิมรู้ว่าคุณยายซิ่งรถออกไปกับแพงสองคน รับรองว่าเรานั่นแหละจะโดนดุ”
พริมายิ้มแหย ก่อนหล่อนจะรีบผลุบเข้าไปนั่งในรถทันที สำนึกในวินาทีนี้ว่าหน้าที่ดูแลคุณยายจิราไม่ง่ายอย่างที่คิด
“ยายพิมพ์ขู่อะไรเธอมาล่ะ หน้าจ๋อยเชียว”
เสียงจากด้านหลังดังขึ้น พริมาห่อตัวด้วยความกริ่งเกรง
“ปละ...เปล่าค่ะคุณยาย”
“ฉันบอกไว้ก่อนนะ ถ้าเธอจะอยู่กับฉัน อย่าทำตัวน่าเบื่อเหมือนยายพิมพ์เด็ดขาด”
เอาละสิ เมื่อโดนดักทั้งสองทาง ทั้งคุณยายจิรา ทั้งพิมพ์ใจที่ส่งสารแทนคุณทับทิบ แล้วพริมาจะต้องทำอย่างไร
ไม่กี่นาทีจากนั้น รถยนต์คันงามก็แล่นลัดเลาะมาตามซอยที่เชื่อมถึงกัน กระทั่งมาถึงร้านขายต้นไม้ที่มีหน้าร้านติดถนนใหญ่ คุณยายจิราเปิดประตูรถก้าวลงไปอย่างกระฉับกระเฉง พริมาจึงต้องรีบเปิดประตูรถ แล้วเร่งฝีเท้าตามไปให้ทัน…
เชื่อแล้วว่าคุณยายยังไม่แก่และไม่จำเป็นต้องมีคนคอยประคบประหงม ก็ดูตอนนี้สิ กลับเป็นเด็กสาวเองที่ต้องวิ่งตามนางจนออกอาการหอบ
เจ้าของร้านขายต้นไม้ทักทายหญิงชราด้วยท่าทางคุ้นเคย อีกฝ่ายก็มีสีหน้ายิ้มแย้มทันตา พริมาฟังการพูดคุยของทั้งสองคนก็จับใจความได้ว่าคุณยายได้โทร.มาสั่งต้นไม้ไว้ล่วงหน้าแล้ว การมาคราวนี้ก็เพียงขนต้นไม้กลับไปบ้าน เด็กสาวยังรู้อีกว่าร้านขายต้นไม้มีบริการส่งต้นไม้ถึงบ้านของลูกค้า หากลูกค้ารายนี้ปฏิเสธบริการนี้จากทางร้าน ด้วยเหตุผลว่านางกำลังหาเรื่องออกจากบ้านพอดี จึงเลือกที่จะมาขนต้นไม้ด้วยตัวเอง
“ฉันมีคนดูแลมาด้วย คนนี้แหละ ทับทิมหามาให้ฉัน”
คุณยายชี้ไปทางพริมา สีหน้าสีตาภูมิใจไม่น้อย คล้ายเด็กน้อยกำลังอวดของเล่นก็ไม่ปาน...
“คุณทับทิมน่ารักเสมอค่ะ คุณยายไม่ต้องน้อยใจเธอนะคะ เธอเป็นห่วงคุณยายอย่างกับอะไรดี วันก่อนก็แวะมาซื้อกุหลาบใส่ท้ายรถไปให้คุณยาย เธอบอกว่าคุณยายชอบ ส่วนคนดูแลก็หน้าตาดีเชียวค่ะ เมื่อกี้หนูจะถามคุณยายเหมือนกันว่าวันนี้พาหลานสาวมาด้วยหรือ”
“เธอคิดว่าเขาเป็นหลานสาวของฉันหรือ”
“แหม! ก็หน้าตาน่ารัก แถมท่าทางดูดีขนาดนี้ ใครจะคิดว่าเป็นคนดูแลคุณยายล่ะคะ”
“อย่างนั้นหรือ...เขาชื่อแพง กำลังเรียนมหาวิทยาลัย เขาเรียนหนังสือเก่งด้วยนะ”
“นั่นสิคะ หนูก็ว่าน้องคนนี้ต้องไม่ธรรมดา อย่างนี้คุณยายก็ไม่เหงา คงมีเรื่องให้คุณยายได้สนุกกันทุกวัน”
“แต่บางคนเขาไม่อยากมาหาฉัน”
คุณยายจิราเปรยเสียงเบา ซึ่งพริมาไม่ต้องสงสัยนานว่าหญิงชราพูดถึงใคร เพราะคู่สนทนาของนางเฉลยให้รู้โดยไม่รอช้า
“ลูกชายก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ หนูเตรียมทำใจกับลูกชายของหนูเหมือนกัน พอเขาโตก็จะห่างจากเรา จะว่าไปหนูก็ไม่เห็นคุณนิคมาหลายปีแล้วนะคะ ป่านนี้คงโตเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว”
“อืม...เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาทำงานเก่ง แถมยังหล่อด้วยนะ หล่อกว่าที่เธอเคยเห็นอีก” สีหน้าของคุณยายภาคภูมิใจจนปิดไม่ปิด หากพริบตาเดียว ดวงตาของนางก็หม่นลง แล้วบอกปัดเสียงเรียบ “แต่ช่างเขาเถอะ เขาไม่อยากมาหาฉันก็ไม่ต้องมา ฉันมีทับทิมกับคนในบ้านก็เยอะพอแล้ว”
การสนทนาของทั้งสองคนจบลงแค่นั้น เพราะลูกค้ารายใหม่เข้ามาในร้าน ซึ่งคุณยายก็บอกให้เจ้าของร้านไปต้อนรับ ส่วนตัวนางเองก็กะเกณฑ์คนขับรถให้ขนต้นไม้นำไปวางท้ายรถ โดยพริมารีบตามไปช่วยขนด้วย...ทั้งที่หล่อนยังติดใจเรื่องที่ได้ยินคุณยายคุยกับเจ้าของร้านขายต้นไม้อยู่เลย
คุณยายมีลูกชายด้วยเหรอ คุณนิค...เขาเป็นลูกอีกคนของคุณยายเหรอ เขาเป็นพี่ชายหรือน้องชายคุณทับทิมกันนะ