บทที่ 2 ย้ายบ้าน
“พี่วาๆ กินอาไรเหรอ วินกินด้วยได้ไหม”
เสียงเล็กใสดังกระท่อนกระแท่นของเด็กน้อยดังมาให้ได้ยินก่อนจะได้เห็นตัว ชะรอยว่าจะเป็นเสียงของหลานคุณยาย เมื่อฟังจากเสียงพูดคุยกัน พริมาก็พอรู้ได้ว่าคุณยายคงมีหลานมากกว่าหนึ่งคน
“พี่วาไม่ให้กิน พี่วากินไม่อิ่ม วินไปขอหม่ามี้เลย”
“วินจะกินของพี่วา วินกินด้วยนะ”
“ไม่ให้! แง...วินแย่งของพี่วาทำไม พี่วาไม่ให้กิน”
เสียงกรี๊ดต่อด้วยเสียงร้องไห้ดังระงมไปทั้งสวน สักพักเสียงหวานของผู้ใหญ่ก็ดังแทรกเข้ามา
“พี่วาแบ่งขนมให้วินกินด้วยสิลูก…วินไม่แย่งขนมจากพี่วานะครับ หนูต้องรอให้พี่วาแบ่งให้หนูเอง”
เมื่อสิ้นคำสอนของผู้ใหญ่ เสียงจากเด็กน้อยก็แย้งทันควัน
“พี่วาไม่ให้วินกิน”
“ถ้าพี่วาไม่ให้ วินมาขอขนมจากหม่ามี้ได้ครับ หม่ามี้มีขนมให้น้องวินเหมือนกับของพี่วาเลย”
จากนั้นเสียงสนับสนุนของเด็กน้อยอีกคนก็ดังขึ้นมา
“ช่าย ขนมของวินก็มี แย่งของพี่วาทำไม”
พริมาเดินมาถึงสวนหลังบ้านแล้วจึงเห็นมนุษย์จิ๋วสองคนซึ่งคงเป็นเจ้าของเสียงเมื่อสักครู่ หล่อนถูกความน่ารักของเด็กทั้งคู่สะกดจนหลงลืมสิ่งรอบตัว เด็กชายมีผิวพรรณขาวผ่อง เนื้อกายอวบสมบูรณ์ เด็กทั้งคู่น่าจะมีวัยเท่ากัน เพราะขนาดตัวไล่เลี่ยกันเกินกว่าจะเป็นพี่น้องที่ห่างกันคนละปี แต่ถ้าเป็นฝาแฝดก็คงเป็นแฝดคนละฝา เพราะหน้าตาและรูปร่างแม้จะคล้ายคลึงตามประสาพี่น้อง แต่หล่อนยังเห็นความแตกต่างที่มีมากเกินกว่าจะเป็นฝาแฝดจากไข่ใบเดียวกัน
พริมาคิดเพลินๆ พลันต้องสะดุ้งเมื่อถูกสะกิดจากคนที่เดินมาด้วยกัน
“พี่พิมพ์เรียกแล้ว แพงไปหาคุณยายสิ”
เพียงเท่านั้นพริมาก็ก้าวเท้าไปหาพลางลอบมองหญิงผู้อาวุโสไปด้วย
‘คุณยาย’ น่าจะอยู่ในวัยกลางคน หรือถ้าหากเข้าวัยชราแล้วก็คงเลยอายุหกสิบปีมาไม่นาน ดวงหน้าของนางอ่อนโยน ท่าทางใจดีสมคำบอกเล่า นางนั่งอยู่บนเก้าอี้สาน ข้างกายมีผู้หญิงสวยที่คะเนอายุได้ยาก หากเธอสวยมาก สวยสะดุดตาทีเดียว...พริมาคาดเดาว่าเธอคงเป็นแม่ของเด็กชายทั้งสองคน
พริมายกมือไหว้คุณยาย ก่อนจะไหว้ผู้หญิงสวยที่นั่งข้างกัน
“เราชื่อแพงใช่ไหม นั่งสิ”
เด็กสาวตอบรับคุณยาย แล้วจดๆ จ้องๆ หาที่นั่งตามคำสั่ง ก่อนหล่อนจะตัดสินใจทรุดกายลงเพื่อจะนั่งคุกเข่าบนพื้นหญ้า แต่ผู้หญิงสวยคนนั้นก็ท้วงเสียงงวด
“ห้ามนั่งบนพื้น ไปเอาเก้าอี้มาเลย”
เจ้าของคำพูดชี้ไปยังเก้าอี้พลาสติกที่วางอยู่ไม่ห่าง พริมาทำตามด้วยท่าทางงกๆ เงิ่นๆ สีหน้าของหล่อนเก้อเขิน ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ...เพราะไม่เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เด็กสาวจึงไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร หล่อนไม่รู้ว่าควรวางตัวเองไว้ตรงไหนดี
พริมานำเก้าอี้มาวางเบื้องหน้าคุณยาย เมื่อหย่อนกายนั่งเรียบร้อยแล้ว หล่อนก็ประสานมือไว้บนตักอย่างสำรวม
“เขาเป็นหลานของพี่พิมพ์เหรอ” ผู้หญิงสวยที่นั่งข้างคุณยายถามพิมพ์ใจ
“ความจริงแพงเป็นเพื่อนของหลานสาวพี่เองค่ะคุณทับทิม พี่เพิ่งเจอแพงเมื่อวาน แต่หลานสาวเล่าเรื่องของแพงให้พี่ฟังมาสักสัปดาห์แล้ว พี่ก็เลยขอคุณยายว่าจะให้เด็กมาอยู่ด้วย” พิมพ์ใจตอบ ก่อนจะหันมาบอกพริมา “แพงเล่าให้คุณยายกับคุณทับทิมฟังสิว่าเรื่องราวของเราเป็นมายังไง”
พริมาตอบรับเสียงเบา ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเอง คราวนี้หล่อนไม่ประหม่าเก้อเขิน เพราะทุกคำล้วนถูกกลั่นออกมาจากหัวใจ
“หนูเคยอยู่กับย่า แต่ตอนนี้ย่าเสียแล้วค่ะ หนูจึงอยู่บ้านเดิมไม่ได้ เพราะครอบครัวของพ่อจะย้ายเข้ามาอยู่แทน หนูก็เลยต้องมาหาน้าพิมพ์”
“ครอบครัวของพ่อเหรอ” ทับทิมตีสีหน้างุนงง ชะรอยความสัมพันธ์ในครอบครัวของเด็กคนนี้จะซับซ้อน
“ใช่ค่ะ ครอบครัวของพ่อมีกันหลายคน แต่บ้านของย่าหลังไม่ใหญ่ หนูก็เลยต้องย้ายออกมาค่ะ”
“แม่ของหนูล่ะ ยังอยู่ไหม” ทับทิมยังคงถามต่อ
“หนูไม่เคยเจอแม่...หนูไม่รู้จักแม่ค่ะ”
“แล้วย่าของหนูทำอะไร ฉันขอโทษที่ละลาบละล้วงถามถึงย่านะ”
คุณยายถามแทรกลูกสาว แม้ความรู้สึกแรกเห็นจะถูกชะตาเด็กคนนี้ แต่นางก็อยากรู้ความเป็นมาเป็นไปให้มากกว่านี้เพื่อจะได้มั่นใจมากขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณยายถามหนูได้ค่ะ” พริมารีบบอก ก่อนจะตอบคำถาม “ย่าของหนูเป็นครูเกษียณ หนูอยู่กับย่าตั้งแต่จำความได้ จนกระทั่งเมื่อต้นเดือนย่าก็เสียกะทันหันด้วยโรคหัวใจค่ะ”
“อยู่กันสองคนย่าหลาน พอย่าเสียไป หนูก็เลยไม่มีที่ไปสินะ”
“ใช่ค่ะ”
“แล้วเรื่องเรียนของเราว่ายังไง” คุณยายเข้าประเด็นทันที “พิมพ์บอกฉันว่าหนูสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ สอบผ่านทุกขั้นตอนแล้ว แต่ยังไม่มีค่าเทอมไปจ่ายใช่ไหม”
“ค่ะ...ใช่ค่ะ”
พริมากลับมาเป็นเด็กสาวที่ขาดความมั่นใจอีกครา หล่อนก้มหน้า แก้มนวลเป็นสีแดงเรื่อ
นอกจากย่าที่ล่วงลับ หล่อนก็ไม่เคยขอเงินจากใครและไม่เคยหยิบยืมข้าวของจากใครด้วย เพราะย่าสอนไว้ตั้งแต่เด็กว่าแม้อยากได้สิ่งใด แต่หากตัวเองไม่มีกำลังซื้อหา ก็อย่าแบมือขอจากคนอื่น…แต่ตอนนี้หล่อนกำลังทำในสิ่งที่ย่าเคยห้าม หล่อนกำลังพูดถึงเงินก้อนใหญ่กับคนที่เพิ่งเจอหน้าแค่ไม่กี่นาที
“หนู...ทำเรื่องกู้ยืมไม่ทันค่ะ” พริมาบอกตะกุกตะกัก หล่อนเพิ่งนึกถึงทางแก้ปัญหานี้ได้เมื่อไม่กี่วัน แต่มันก็สายเกินไป
“ถ้าย่ายังอยู่ ย่าก็จะส่งเสียหนูเรียนจนจบได้ใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างนี้ฉันก็เข้าใจที่หนูไม่ได้เตรียมการสำรองทางอื่นไว้”
“ใช่ค่ะ” พริมานึกขอบคุณคุณยายที่ทำให้หล่อนไม่ต้องพูดออกมาเอง
ทับทิมนั่งฟังการสนทนาเงียบๆ จนรู้เรื่องราว จากนั้นเธอจึงถามรายละเอียดเกี่ยวกับการเรียนของพริมาอย่างต้องการรู้ข้อมูล แล้วจึงพูดออกมาอย่างที่ทำให้พริมาทั้งดีใจและประหลาดใจระคนกัน
“ฉันช่วยเรื่องค่าเทอมและค่าใช้จ่ายในการเรียนของเธอได้ เพราะดูจากคณะและมหาวิทยาลัยที่เธอจะเรียน ค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้สูงมาก ส่วนรายจ่ายส่วนตัวในแต่ละเดือน เธอก็ทำงานในบ้านของคุณยาย บางทีฉันอาจให้เธอช่วยงานของฉันด้วย ฉันจะจ่ายเป็นเงินเดือนให้เอง...แต่ค่าจ้างไม่สูงนะ แค่พอให้เธอใช้จ่ายในช่วงเรียนหนังสือเท่านั้น”
“หนูขอบคุณคุณทับทิมค่ะ”
พริมาก้มลงไหว้ทับทิมและไหว้คุณยายอีกรอบ หล่อนตื้นตันใจจนไม่อาจพูดออกมาได้มากกว่านี้ หัวใจของหล่อนพองโต...หล่อนกำลังจะได้เรียนหนังสือจริงๆ หรือนี่
“เธอคิดว่าพอจะทำได้ไหม”
“หนูทำได้ค่ะ หนูทำงานบ้านได้ และหนูคิดว่าช่วยเลี้ยงคุณหนูได้ด้วย...จริงๆ หนูไม่เคยเลี้ยงเด็ก แต่หนูจะตั้งใจเรียนรู้ค่ะ”
“วาตะกับมาวินมีพี่เลี้ยงอยู่แล้ว ฉันอยากให้เธออยู่ดูแลคุณแม่ของฉันมากกว่า เพราะคิดว่าเธอคุ้นเคยกับย่ามาก่อน เธอก็น่าจะอยู่เป็นเพื่อนแม่ของฉันได้”
“หนูดูแลคุณยายได้ค่ะ”
พริมารับคำอย่างกระตือรือร้น แม้หล่อนยังไม่คุ้นเคยกับคุณยาย แต่เชื่อว่าตนสามารถทำงานดูแลรับใช้ผู้หญิงสูงวัยท่าทางใจดีคนนี้ได้...หากอีกฝ่ายกลับแย้งจนหล่อนต้องชะงัก
“ไม่ต้องหาคนมาดูแลฉัน ฉันยังไม่แก่ขนาดต้องมาคอยประคบประหงม”
“ทับทิมไม่ได้คิดอย่างนั้นสักหน่อย คุณแม่ของทับทิมยังสาวและแข็งแรงมาก ทับทิมแค่ตั้งใจจะให้เด็กคอยเป็นลูกมือช่วยคุณแม่ปลูกผัก หรือถ้าว่างๆ คุณแม่ก็ให้เด็กอ่านหนังสือให้ฟังก็ได้ มีงานตั้งหลายอย่างที่เราให้เด็กทำให้เราได้”
เมื่อฟังลูกสาวสาธยาย คุณยายที่ยังคงแข็งแรงดีก็เข้าใจ นางจึงตอบรับพริมาไว้เป็นคนดูแลใกล้ตัว