บทที่ 1 ย้ายบ้าน
“ไม่ได้ให้ไว้ค่ะ ย่าจากหนูไปกะทันหันมาก...พอย่าเสีย หนูก็ต้องย้ายออกมาเลย มีแต่เสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวกระเป๋าเดียว ของของหนูมีเท่านี้ค่ะ”
ก่อนย่าจะเสียชีวิตประมาณหนึ่งเดือน ย่าวางแผนให้พริมาดูว่าสามารถส่งเสียให้หล่อนเรียนจนจบมหาวิทยาลัยได้ ย่ายังกระเซ้าอีกว่าให้พริมาเรียนตามหลักสูตรสี่ปี เพราะถ้าใช้เวลาเรียนนานกว่านั้น หล่อนจะต้องหาเงินใช้เอง เพราะงบส่งเสียจากย่าจะหมดลงแค่นั้นพอดี...แต่แล้วย่าก็จากไปเสียก่อน ย่าจากไปโดยไม่ทันได้ล่ำลา ไม่ทันได้เตรียมการอะไรไว้ให้พริมาทั้งสิ้น
“น้าเสียดาย”
“หนูตัดใจแล้วค่ะน้าพิมพ์”
“เอาอย่างนี้ไหม น้าจะปรึกษาคุณยาย เราขอทุนการศึกษาจากคุณๆ เขาสักคน ลูกหลานของคุณยายฐานะดีทั้งนั้น ค่าเทอมแค่ไม่กี่หมื่น เขาน่าจะช่วยได้”
“หนูไม่อยากขอใครเลยค่ะ ถึงเขาจะมีเงิน แต่เขาก็ไม่มีหน้าที่มาส่งเสียหนูซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้”
“เราไม่ได้ขอเขาฟรีๆ เรียกว่าขอยืมเรียนดีกว่า พอแพงเรียนจบและมีงานทำก็ค่อยใช้คืนเขา ถึงตอนนั้นแพงคงมีลู่ทางหางานดีๆ ทำ มีรายได้งามๆ มาจ่ายค่าเทอมคืนเขาได้แล้ว”
“หนูสนใจนะ แต่หนูเกรงใจจัง...มันรู้สึกยังไงก็ไม่รู้ หนูยังไม่รู้จักพวกเขาเลย แต่จู่ๆ จะไปขอยืมเงินเรียนหนังสือ มันแปลกๆ อยู่ค่ะ”
“แพงเอ๊ย! ทางเลือกของคนจนมันมีไม่มากหรอก ถ้าสิ่งไหนมีประโยชน์กับเรา เราก็ต้องจำใจทำ ถึงเรื่องนั้นมันจะไม่สง่างามในสายตาเรา เอาแค่มันไม่ผิดกฎหมายและไม่ผิดศีลธรรมก็พอ”
พริมานิ่งฟัง หล่อนยอมรับว่าคำพูดของคนอาวุโสกว่านั้นเป็นความจริง ตอนนี้หล่อนเหลือตัวคนเดียว การจะยืนหยัดต่อไปให้ได้นั้น หล่อนคงต้องเปลี่ยนความคิดของตัวเองหลายอย่าง...
ผ่านมาแค่สัปดาห์เดียว ชีวิตของพริมาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สถานการณ์บังคับให้หล่อนโตในเวลาแค่เพียงข้ามวัน จากเด็กสาวที่เคยอยู่กับย่า ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น นอกจากเรียนหนังสือและช่วยดูแลย่า จู่ๆ วันหนึ่งก็ต้องเคว้งเหลือตัวคนเดียว
ไม่มีบ้าน ไม่มีเงิน ไม่เหลือญาติพี่น้องให้พึ่งพา...แถมยังไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้ายังมีอะไรที่หล่อนต้องพบเจออีก
เจ็ดนาฬิกาตรง พริมาได้ยินเสียงเคาะประตูห้องพักดังขึ้น หล่อนลุกขึ้นจากขอบเตียงแล้วเดินไปเปิดประตูแง้มออกมาดู ซึ่งคนที่คาดว่าจะได้เห็นก็ยืนอยู่เบื้องหน้าแล้ว
“แพงตื่นแล้วใช่ไหม อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็ออกมาข้างนอก อีกสักชั่วโมง น้าจะพาไปหาคุณยาย”
“แพงอาบน้ำแล้วค่ะ แพงกำลังคิดจะออกไปหาน้าพิมพ์อยู่พอดี”
“ถ้าอย่างนั้นเราไปช่วยงานในครัวก่อน วันนี้คนจากบ้านใหญ่มา”
“คนจากบ้านใหญ่หรือคะ”
“ลูกสาวของคุณยายน่ะ เธอพาคุณหนูมาเยี่ยมคุณยายทุกสัปดาห์ พี่เลี้ยงของคุณหนูตามมาด้วยสามคน ตอนนี้กำลังเตรียมอาหารให้คุณหนูกันอยู่ในครัว เราไปช่วยเขาหยิบจับอะไรก็ได้”
พริมารับคำอย่างว่าง่าย หล่อนเดินตามหลังพิมพ์ใจไปยังห้องครัว ท่าทางเกร็งๆ ของเด็กสาวทำให้คนที่อยู่ในครัวหันมามองแล้วยิ้มอย่างขบขันระคนเอ็นดู
“คนนี้คือหลานสาวของพี่พิมพ์ที่บอกไว้ใช่ไหม หน้าตาดีเชียว” ใครสักคนที่นั่งอยู่ในครัวทักถาม
“อืม...เขาชื่อแพง ถ้าจะให้เขาช่วยทำอะไรก็บอกได้นะ แพงยังไม่คล่องงาน แต่พอช่วยเป็นลูกมือได้ เด็กเพิ่งเรียนจบมอหกมาน่ะ”
“หนูก็ว่างั้น หลานของพี่พิมพ์ท่าทางยังกับพวกคุณหนู”
ผู้หญิงคนเดิมบอกเสียงกลั้วหัวเราะ...อย่าว่าแต่คนในครัวที่วิจารณ์ซึ่งหน้าออกมาให้ได้ยิน พิมพ์ใจเองก็คิดไม่ต่างกัน เธอฝากหลานสาวนอกไส้ไว้กับคนในครัว ก่อนจะเดินออกไปเพื่อทำงานของตัวเอง
“น้องมาเด็ดสายบัวให้หน่อย เด็ดเป็นชิ้นยาวแค่ข้อนิ้วนะ ถ้ามีใยบัวเหลืออยู่ก็ดึงออกด้วย เอาให้เกลี้ยงเลย มื้อเที่ยงคุณยายจะทำต้มสายบัวกับปลาทูให้คุณทับทิมกิน ว่าแต่รู้จักคุณทับทิมลูกสาวของคุณยายจิราหรือยัง”
เมื่อผู้หญิงอีกคนที่อยู่ในห้องครัวเรียกหา พริมาจึงรีบเดินไปหา แล้วตอบเสียงเบา
“แพงยังไม่รู้จักใครเลยค่ะ แพงยังไม่เจอคุณยายด้วย แต่อีกสักพักน้าพิมพ์บอกว่าจะพาแพงไปพบคุณยายค่ะ”
“งั้นก็ไม่ต้องเกร็งเหมือนตอนเจอหน้าพวกพี่ เพราะคุณยายอารมณ์ดี แถมยังใจดีมากด้วย พี่ชอบที่สุดก็ตอนมาบ้านนี้แหละ”
ฟังคนในครัวพูดมาหลายนาที พริมาก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร หล่อนไม่กล้าถาม เพราะเกรงจะเป็นการละลาบละล้วง แต่เท่าที่หล่อนจับใจความได้ก็พอรู้ว่าคู่สนทนาไม่ได้อยู่ประจำที่บ้านหลังนี้...เธอคงเป็นพี่เลี้ยงของคุณหนูที่ติดตามมาดูแล
พิมพ์ใจหายไปนาน กระทั่งครบหนึ่งชั่วโมงตามที่พริมาจับเวลาไว้ ซึ่งนัดหมายกันว่าจะไปพบคุณยายด้วยกัน แต่ป่านนี้หล่อนยังไม่เห็นพิมพ์ใจเข้ามา พริมาจึงได้แต่ชะเง้อมองไปทางประตูห้องครัวอยู่หลายรอบ...เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะลืมตัวเอง
ทว่าผ่านไปไม่นาน เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากประตูห้องครัว
“แพง...คนไหนชื่อแพง พี่พิมพ์ให้มาตามไปพบคุณยายที่สวนผักหลังบ้าน”
“หนูค่ะ หนูชื่อแพง” พริมารีบแสดงตัว เพราะรอคอยเวลานี้อย่างใจจดใจจ่ออยู่แล้ว
“งั้นก็ตามมา”
หากงานล้างผักทั้งกะละมังที่ได้รับมอบหมายมาใหม่นั้นหล่อนยังทำได้ไม่ถึงครึ่งทาง พริมาละล้าละลัง ไม่รู้จะจัดการยังไง จนคนที่อยู่ยืนทำงานอยู่ใกล้ๆ ต้องบอกให้หล่อนวางมือจากงาน แล้วรีบออกไปพบเจ้าของบ้านเสีย