บทนำ ไร้ญาติขาดมิตร
คนที่ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติพี่น้อง เขาใช้ชีวิตกันยังไงคะ
กระทู้ใหม่ในสังคมออนไลน์ปรากฏขึ้นในค่ำคืนของวันทำงาน โดยข้างในมีเนื้อหาอยู่เพียงไม่กี่บรรทัด
หนูอายุสิบแปดปี กำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ปกติหนูอยู่กับย่า แต่ย่าเสียแล้ว วันนี้เพิ่งเผาย่าเสร็จ พรุ่งนี้หนูต้องย้ายออกจากบ้านย่าแล้วค่ะ หนูไม่มีญาติพี่น้องอีก ยังไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าจะได้เรียนต่อหรือเปล่า
ความคิดเห็นถูกพิมพ์ตอบกลับมากมาย แค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็ปาไปหลายสิบคำตอบแล้ว แรกเริ่มมีแต่คำตอบที่แสดงความห่วงใย อย่างเช่นแนะนำให้เจ้าของกระทู้ไปพักกับเพื่อนสนิทชั่วคราว ปรึกษาครูอาจารย์จากโรงเรียนเดิม หรือแนะนำให้ติดต่อหน่วยงานเกี่ยวข้องกับเด็กและสตรี แต่เมื่อคำตอบมีมากถึงหลักร้อย เจ้าของกระทู้กลับหายไป ความคิดเห็นบางส่วนจึงเริ่มเปลี่ยนทิศทาง
เจ้าแห่งกาแล็กซี : เชิญห้องแต่งนิยายเลยครับน้อง
ชายพเนจร : มาอยู่กับพี่ไหม อยู่ฟรี กินฟรี แถมจ่ายเงินเดือนให้ด้วย
แมลงปอ : เจ้าของกระทู้หายไปแล้ว สรุปว่าเรื่องจริงหรือเปล่าคะ ถ้าเป็นเรื่องแต่งก็อย่าทำอย่างนี้อีกนะคะ เพราะบางคนจิตตกไปแล้ว
พอผ่านไปได้ห้าวัน แต่ยังไม่มีการตอบกลับจากเจ้าของกระทู้ เจ้าตัวไม่ได้แสดงตัวอีก ความสนใจในกระทู้จึงลดลง เพราะคนจำนวนมากเริ่มไม่มั่นใจว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
ในสังคมที่ต่างคนต่างดิ้นรนกำลังมีผู้หญิงที่ต้องเผชิญเรื่องยากลำบากตามลำพัง หรือแท้จริงแล้วพวกเขาแค่กำลังเสพข่าวสารที่ถูกใครสักคนแต่งขึ้นมากันแน่
“เป็นยังไง พออยู่ได้ไหม”
ห้องพักสีขาวสะอาดตา ขนาดกว้างพอสมควร แถมมีห้องน้ำในตัวด้วย...อย่าว่าแต่พออยู่ได้เลย พริมาไม่คิดว่ามันจะดีถึงขนาดนี้ต่างหาก
“หนูอยู่ได้ค่ะ ห้องน่าอยู่มาก”
“งั้นเอาของเข้าไปเก็บ แล้วแพงจะพักผ่อนหรือทำอะไรก็ตามสบายนะ พรุ่งนี้เช้าน้าจะพาไปพบคุณยายเจ้าของบ้าน”
หญิงวัยกลางคนที่พริมาได้เจอเป็นครั้งแรกนั้นบอกอย่างใจดี ถ้าหากเธอไม่ใช่น้าสาวแท้ๆ ของเพื่อนสนิทและเจ้าตัวไม่มาส่งถึงหน้าประตูรั้ว พริมาคงไม่กล้าขอมาอาศัยอยู่ด้วยอย่างแน่นอน
“ห้องนี้มีใครอยู่กับหนูอีกไหมคะ”
“ไม่มีหรอก ห้องนี้เป็นห้องพักของคนทำงานบ้าน เจ้านายของที่นี่ใจดี ไม่ถือตัว เรียกว่าเป็นคนรวยที่นิสัยดี เขาดูแลการกินอยู่ของพวกเราดี ถือว่าสบายเลยแหละ”
“ดีจังเลยค่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นหนูก็อยากอยู่ทำงานด้วยนานๆ เสียแล้วสิ”
“เราจะอยากทำงานบ้านเหมือนน้าไปทำไม เดี๋ยวเราก็มีอนาคตดีๆ พอเรียนจบมหาวิทยาลัยก็จะได้งานดีๆ ทำ เราจะมีสังคมคนระดับเดียวกัน ถึงตอนนั้นคงมีบ้าน มีรถ มีอะไรเป็นของตัวเอง ไม่ต้องมาอาศัยเขาอยู่แบบนี้”
พิมพ์ใจร่ายยาว แค่ได้พูดคุยกันไม่กี่คำ เธอสรุปได้ว่าเด็กสาวคนนี้ต่างกับหลานสาวของตัวเองนัก คนหนึ่งโผงผางอารมณ์ดี ขณะที่อีกคนท่าทางเรียบเย็น บุคลิกนุ่มนิ่ม แถมผิวพรรณก็เกลี้ยงเกลาผิดกับลูกหลานชาวบ้านนัก ถึงแม้หลานสาวของเธอยืนยันว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกัน...แต่พิมพ์ใจลงความเห็นว่าคงเป็นเพื่อนสนิทที่นิสัยต่างกันสุดขั้วกระมัง
ขณะที่คิดเพลินๆ เสียงเบาหวิวก็แทรกเข้ามา พิมพ์ใจถึงกับงุนงงทีเดียว
“หนูคงไม่เรียนหนังสือแล้วค่ะ”
“อ้าว! ทำไมล่ะ ทำไมไม่เรียนต่อ เราสอบเข้ามหา’ลัยได้แล้วไม่ใช่เหรอ ถึงน้าจะไม่เคยเรียนมหา’ลัย แต่ก็รู้ว่ากว่าจะสอบเข้าไปได้ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ที่สำคัญ...น้าบอกคุณยายไปว่าแพงมาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ แต่ค่าหอพักแต่ละที่มันแพงมาก เลยจะขอมาอยู่ด้วยกัน...ถ้าเป็นอย่างนี้ มันก็ไม่ถูกต้องน่ะสิ”
พริมาหน้าจ๋อย หล่อนตัดสินใจบอกทุกเรื่องไปตามตรง หวังจะให้ทุกคนเข้าใจสภาพจนทางเลือกของตัวเอง
“หนูขอโทษน้าพิมพ์ด้วยค่ะ หนูเพิ่งตัดใจเรื่องเรียนได้ เพราะมันไม่มีทางเลยจริงๆ หนูขอเปลี่ยนมาทำงานเต็มเวลากับน้าได้ไหมคะ หนูทำงานบ้านได้ ดูแลคนแก่ก็ได้ค่ะ ตอนย่ายังอยู่ หนูก็ดูแลย่าเอง ความจริงหนูก็เสียดายที่ไม่ได้เรียนต่อ หนูอยากเรียนหนังสือมาก แต่ถึงได้พักที่นี่แล้ว พอนึกถึงค่าเทอมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ หนูก็ยังสู้ไม่ไหว หนูทำเรื่องกู้ยืมไม่ทันค่ะ” เสียงของเด็กสาวสั่นเครือจนคนฟังใจอ่อนยวบ อดที่จะสงสารเจ้าตัวไม่ได้
“เวรกรรมจริงๆ แล้วย่าเราไม่ได้ให้เงินทองติดตัวไว้บ้างหรือ”