ความสูญเสีย(3)
พิมพิกาไม่เคยจับเงินหมื่นเงินแสน แม้ครั้งหนึ่งครอบครัวเธอจะเคยรุ่งเรือง แต่ก็นานมาแล้ว จวบจนพ่อล้มป่วยลง เงินหนึ่งพันบาทสำหรับเธอก็เปรียบเสมือนเงินมหาศาลที่บางครั้งกว่าจะได้มันมาก็แสนจะเหน็ดเหนื่อย
“โชคดีนะที่เจอคู่กรณีดี บางคนนี่หนีหายไปเลย เงินสักบาทก็ไม่ให้ ยิ่งเป็นคนรวย ๆ แบบนี้ เห็นมาเยอะใช้เงินปิดคดีให้จบ ๆ ไป”
อีกฝ่ายเอ่ยพลางถอนหายใจ เขาพบเจอมาเยอะ เรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไปเสียแล้ว คนผิดไม่ยอมรับผิด ยังลอยนวลไม่เยียวยาให้กับคนที่สูญเสีย สงสารก็เพียงครอบครัวผู้เสียชีวิตที่ต้องทนเรียกร้องความยุติธรรม
“วันนี้ก็เผาแล้ว แม่เขาไปสบาย ไม่เหนื่อยถึงเวลาที่เขาจะได้พักแล้ว”
พิมพิกาได้ยินเช่นนั้นความรู้สึกของหญิงสาวก็ดีขึ้นเล็กน้อย นี่เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอคลาย ความทุกข์ลงไปได้บ้าง หลังจากที่พ่อล้มป่วย ในตอนนั้นเธอยังเรียนอยู่เพียงชั้นมัธยมศึกษา แม่ต้องขายสมบัติแทบทุกอย่างเพื่อรักษาพ่อแต่ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์เพราะอาการของพ่อไม่เคยดีขึ้นมีแต่ทรงกับทรุด แม่เปลี่ยนโรงพยาบาลมาหลายครั้งตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา แต่สุดท้ายแล้วเงินที่มีก็ค่อยๆหมดลงไป แม่ต้องออกไปขายข้าวแกงริมทาง ในระหว่างนั้นก็กู้หนี้ยืมสินไปด้วยแม่เหนื่อยมานานแล้ว คงได้เวลาพักผ่อนเสียที
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยดุแลเรื่องสถานที่ให้”
หญิงสาวเอ่ยขอบคุณก่อนที่เธอจะเดินเลี่ยงเข้าไปในศาลา ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงเช้าและยังไม่มีใครมานอกจากเธอ ขณะที่กำลังจะจุดธูป เจ้าสัวกิตติศักดิ์ก็เดินเข้ามา เขานั่งลงข้างหญิงสาวก่อนที่เธอจะส่งธูปให้อีกฝ่าย
“สวัสดีค่ะคุณลุง”
“ฉันมาไหว้แม่หนู วันนี้เผาแล้วใช่ไหม”
หญิงสาวพยักหน้า รู้สึกใจหายที่ร่างไร้วิญญาณของแม่กำลังจะถูกเผาไหม้กลายเป็นละอองเถ้า หมดจากงานศพเธอต้องอยู่คนเดียวคงจะยิ่งคิดถึงแม่มากกว่านี้
“ฉันมีเรื่องอยากคุยกับหนูหน่อย ขอรบกวนเวลาสักห้านาทีนะ”
พิมพิกาพยักหน้าก่อนเดินตามอีกฝ่ายออกไปด้านนอกที่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ เจ้าสัววัยกลางคนเอ่ยถามชวนหญิงสาวคุยเกี่ยวกับเรื่องราวของเธอ ทำให้ได้รู้ว่าพิมพิกาเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีและอยู่ในช่วงหางานทำ แต่ดันมาเกิดเรื่องนี้เสียก่อน
“หนูเรียนจบแล้วค่ะ ตอนนี้ยื่นสมัครงานไปหลายที่แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับมาเลย”
หญิงสาวพูดด้วยด้วยใบหน้าหมองหม่น เธอเรียบจบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งแต่ทว่ากลับไม่อาจสู้นักศึกษามหาวิทยาลัยดังได้ อีกทั้งที่เธอจบมาก็ไม่ใช่สถาบันเบอร์ต้นๆ เป็นสถาบันขนาดกลางที่ชื่อเสียงไม่ค่อยดีด้วยซ้ำ
“แล้วจะเอายังไงต่อไป”เขาเอ่ยถามหญิงสาว มองดูเธอที่กำลังครุ่นคิด
พิมพิกาตั้งใจว่าจะหางานทำและนำเงินเดือนที่ได้มารักษาพ่อ โดยหวังว่าสักวันอีกฝ่ายจะฟื้นขึ้นมาและกลับมาอยู่กับเธอเสียที แม้ความหวังจะริบหรี่เพียงใดแต่หญิงสาวก็สู้ไม่ถอยและยังคงรอคอยที่จะมีวันนั้น
เจ้าสัวกิตติศักดิ์ครุ่นคิดมาพักใหญ่ เขามองเห็นหนทางที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตหญิงสาว อีกทั้งเมื่อได้พูดคุยก็เห็นได้ชัดว่าพิมพิกาเป็นคนมองโลกในแง่ดีและเข้าใจผู้อื่นเสมอ ไม่เคยด่าว่าหรือโกรธเกลียดเขา กลับเข้าใจในเหตุผล
ชายวัยกลางคนที่ผ่านโลกมานาน เขามองออกว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นอย่างไร ความประทับใจที่มีต่อ อีกฝ่ายทำให้เขานั้นอยากจะผลักดันให้เธอได้แต่งงานกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างไกรวี
“หนูตั้งใจว่าจะหางานทำ แล้วก็หาเงินรักษาพ่อค่ะ”
สำหรับพิมพิกานี่คือเป้าหมายชีวิตเดียวของเธอ ส่วนเรื่องอื่นเธอไม่ได้สนใจ เจ้าสัวกิตติศักดิ์ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกชื่นชมในความกตัญญูของหญิงสาว
“เรื่องค่ารักษาของพ่อหนู เดี๋ยวฉันจะจัดการให้เอง”
ตอนนี้พ่อของพิมพิการักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งโรงพยาบาลนี้เจ้าสัววัยกลางคนถือหุ้นอยู่ประมาณยี่สิบเปอร์เซ็น เพียงแต่เขาไม่ได้บอกให้พิมพิการู้ จึงตั้งใจจะดูแลพ่อของเธอเงียบๆจนกว่าจะหายดี ฉะนั้นค่าใช้จ่ายทุกอย่างเขาจะเป็นคนจัดการให้เอง ไม่ว่าจะกี่แสนกี่ล้านเขาก็ไม่เกี่ยง
“ขอบคุณนะคะ หนุขอบคุณจริง ๆ ”
พิมพิกาตั้งใจอยู่แล้วว่าเงินที่อีกฝ่ายให้มา เธอจะเก็บไว้รักษาพ่อและเก็บไว้เพื่ออนาคต แต่หากได้รับการอุปการะเรื่องค่ารักษาก็จะประหยัดได้มากขึ้น
พิมพิการู้สึกผ่อนคลายความตึงเครียด เธอกังวลเรื่องอนาคตใหนวันข้างหน้า แต่ในเมื่ออีกฝ่ายอาสาดูแลค่าใช้มหาศาลของผู้เป็นพ่อ ก็ทำให้เธอรู้สึกเบาใจขึ้นและมีความหวังว่าพ่อของเธอคงมีโอกาสที่จะอาการดีขึ้น