ความสูญเสีย(2)
หลังจากวันนั้น เจ้าสัวกิตติศักดิ์ก็ได้เข้ามอบตัวกับตำรวจ ทั้งยังเต็มใจที่จะเยียวยาทุกคนที่ต้องเดือดร้อนเพราะเขา ร้านค้าหลายร้านพังทลายลงเพราะแรงอัดมหาศาลของรถหรู ชายวัยกลางคนจึงไม่รีรอที่จะชดใช้ให้พวกเขาเป็นเงินมากกว่าหกหลัก
“ไปรับเงินมันทำไม!”
ผู้เป็นป้าเอ่ยถามเสียงแข็ง พิมพิกาแอบสอดเช็คเข้ากระเป๋ากางเกงก่อนจะปฏิเสธ เดิมทีเธอไม่ใช่คนชอบโกหก แต่ทว่าเงินก้อนนี้จำเป็นสำหรับเธอและพ่อมาก ฉะนั้นเธอจึงไม่อาจให้ผู้เป็นป้ารับรู้ได้ว่ามีสิ่งนี้อยู่ในมือ เพราะไม่อย่างนั้นกระดาษที่มีมูลค่าสูงคงจะกลายเป็นเศษผงภายในพริบตา
“เปล่าค่ะ เขาแค่มาขอโทษ”
“เหอะ! ขอโทษแล้วแม่แกจะฟื้นขึ้นมาไหม ไปญาติดีกับมันทำไม ป้าไม่เข้าใจ มันขับรถชนแม่แกนะ”
หญิงวัยกลางคนหงุดหงิด ดวงตาแดงก่ำผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง เธอและพี่สาวมีกันสองคนพี่น้อง เติบโตมาด้วยกัน ทั้งที่ยังไม่ถึงวาระของชีวิตแต่กลับต้องมาแยกจากกระทันหัน จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำใจ เธอไม่มีทางให้อภัยคนที่พรากพี่น้องของเธอไปได้แน่
“แต่มันเป็นอุบัติเหตุนะป้า เขาไม่ได้ตั้งใจ ไม่มีใครอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น”
หญิงสาวพยายามที่จะเปลี่ยนความโกรธแค้นของผู้เป็นป้าให้กลายเป็นความเข้าใจ เจ้าสัวผู้นั้นสำนึกผิด ทั้งยังตั้งใจจะส่งหลานชายมาบวชให้แต่ญาติๆกลับปฏิเสธ ไล่ตะเพิดจนเปิดเปิงไปหมด
“คงมัวแต่เล่นโทรศัพท์น่ะสิ”
ผู้เป็นป้าประชดประชัน เธอเห็นมานักต่อนักแล้ว ไอ้พวกชอบเล่นโทรศัพท์ตอนขับรถ สุดท้ายก็เดือดร้อนคนอื่น เธอคิดว่าเหตุการณ์นี้ก็คงเช่นกัน
พิมพิกาถอนหายใจยาวก่อนที่เธอจะควงแขน ผู้เป็นป้าและพาอีกฝ่ายกลับเข้าไปข้างในเพื่อฟังพระสวด วันนี้มีแขกเหรื่อมามากมายหลายคน เว้นก็เพียงแต่พ่อของเธอที่นอนรักษาตัวอยู่ในไอซียูและไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา
พิมพิกาเดินทางกลับบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอใช้เวลาทั้งคืนเพื่อนอนเฝ้าแม่โดยมีป้าและญาติๆอีกสี่ห้าคนนอนเป็นเพื่อน หลังจากจัดการธุระทุกอย่างเสร็จสิ้นหญิงสาวก็เดินทางกลับไปที่วัดเพื่อพูดคุยเรื่องค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพ
“ทั้งหมดที่ใช้ในงานเท่าไหร่คะ”
ผู้ดูแลและจัดการเงินในส่วนนี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องหรอกพิม เจ้าสัวเขาจ่ายให้แล้วล่ะ”
หญิงสาวพยักหน้าไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ เพราะตลอดสามวันที่ผ่านมาอีกฝ่ายก็มักจะเข้ามาดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายอยู่เสมอทั้งยังให้เงินเธอทุกครั้ง จนหญิงสาวเริ่มเกรงใจ ถึงจะเป็นสิทธิ์ที่ควรได้รับ แต่บางทีมันก็มากเกินไปในความรู้สึกเธอ
พิมพิกาไม่เคยจับเงินหมื่นเงินแสน แม้ครั้งหนึ่งครอบครัวเธอจะเคยรุ่งเรือง แต่ก็นานมาแล้ว จวบจนพ่อล้มป่วยลง เงินหนึ่งพันบาทสำหรับเธอก็เปรียบเสมือนเงินมหาศาลที่บางครั้งกว่าจะได้มันมาก็แสนจะเหน็ดเหนื่อย
“โชคดีนะที่เจอคู่กรณีดี บางคนนี่หนีหายไปเลย เงินสักบาทก็ไม่ให้ ยิ่งเป็นคนรวย ๆ แบบนี้ เห็นมาเยอะใช้เงินปิดคดีให้จบ ๆ ไป”
อีกฝ่ายเอ่ยพลางถอนหายใจ เขาพบเจอมาเยอะ เรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไปเสียแล้ว คนผิดไม่ยอมรับผิด ยังลอยนวลไม่เยียวยาให้กับคนที่สูญเสีย สงสารก็เพียงครอบครัวผู้เสียชีวิตที่ต้องทนเรียกร้องความยุติธรรม