ข้อตกลง(2)
เจ้าสัววัยกลางคนที่ผ่านผู้หญิงมาทุกประเภทมีหรือจะดูไม่ออกว่าวันวิสาเป็นคนแบบไหน เขามองทะลุปรุโปร่งไปถึงนิสัยใจคออีกฝ่าย
“เรื่องนั้นผมกำลังพยายามอยู่”
มักยากมากสำหรับไกรวี เขาแคร์ความรู้สึกของแฟนสาวมากกว่าอะไร ฉะนั้นแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้รับการแก้ไขเสียที เหล่าหุ้นส่วนหลายคนเริ่ม ติเตียนเรื่องความเหมาะสม เพราะวันวิสาเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจและเปิดเผย จึงเผลอทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรไปบ้างแต่ชายหนุ่มมองว่าการกระทำของเธอนั้นดูน่ารักในสายตาของเขาต่างจากคนอื่นที่มองว่ามันน่ารังเกียจ
“ลูกโตแล้วก็ทำอะไรก็คิดเยอะๆ อย่าให้ ความลุ่มหลงมันบังตามากเกินไปจนทำให้เราต้องเสียตัวตนที่ควรจะเป็น”
ผู้เป็นพ่อเอ่ยด้วยความหวังดี เขายังหวังว่า สักวันลูกชายจะตาสว่าง มองเห็นดอกบัวเป็นกงจักรเสียที
พิมพิกามาเยี่ยมพ่อที่ยังคงนอนป่วยไม่รู้เรื่องอยู่ แม้ตอนนี้จะมีเงินเยียวยาหลักล้านจากเจ้าสัวกิตติศักดิ์ แต่เมื่อคำนวณค่ารักษาในอนาคตแล้ว เธอก็รู้ว่าคงไม่พอที่จะต่อชีวิตและลมหายใจของผู้เป็นพ่อได้เพราะเธอไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเจ้าสัวจะช่วยดูแลพ่อเธอไปถึงไหน
หญิงสาวนั่งมองชายวัยกลางคนที่นอนนิ่งมานานหลายปี ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นคืนมา
“หนูยังอยากเจอพ่ออีกครั้ง แต่ถ้าพ่อไม่ไหว พ่อก็ไปอยู่กับแม่นะ หนูอยู่คนเดียวได้”
เธอไม่อยากให้ผู้เป็นพ่อต้องทรมานอีกต่อไป ความตายคือการพ้นทุกข์ แม้สำหรับบางคนจะเป็นเรื่องที่น่าโศกเศร้าแต่หญิงสาวก็สรรหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเอง เพราะทุกครั้งที่เธอต้องมาเห็นพ่อในสภาพนี้มันทำให้เธออยากให้พ่อได้พัก
เธอจะพยายามอย่างหนักที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข แม้มันจะยากเย็นมากก็ตาม
“แม่ต้องรอพ่ออยู่ พ่อไม่ต้องห่วงหนูนะ หนูดูแลตัวเองได้”
หญิงสาวเอ่ยก่อนสะอื้นเมื่อเห็นสายระโยงระยางที่สอดเข้าไปในร่างกายซูบผอมนี้แล้วน้ำตาเธอก็ร่วงพรู หากผู้เป็นพ่อรับรู้ถึงความเจ็บปวดจะทรมานเพียงใดคิดแล้วหญิงสาวก็ได้แต่เศร้าใจ เธอเหม่อมองออกไปนอกกระจกใส ที่นี่ต่างจากโรงพยาบาลเก่าอย่างสิ้นเชิง ทุกอย่างดูสะอาดและมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย สมกับเป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ
“หนูกำลังจะแต่งงานนะพ่อ เขาเป็นลูกชายเจ้าสัว พ่อไม่ต้องห่วงหนูนะ ท่านเจ้าสัวเมตตาหนูมาก”
นอกจากพ่อแม่ญาติพี่น้องแล้วก็มีเจ้าสัว กิตติศักดิ์ที่ห่วงใยเธอราวกับเป็นลูกเป็นหลาน หญิงสาวซาบซึ้งใจที่อีกฝ่ายนั้นหวังดีคอยช่วยเหลือ จึงอยากตอบแทนด้วยการรับข้อเสนอของเขาที่คิดดูแล้วเธอเองก็ไม่ได้เสียอะไรเพราะทุกอย่างมันแค่1 ปี
“หนูไปก่อนนะพ่อ”
หญิงสาวเอ่ยกับคนที่ยังคงนอนแน่นิ่ง เธอลูบหลังมือที่เหี่ยวย่นจนหนังติดกระดูกก่อนจะเดินออกมาจากห้องอย่างช้าๆ มองไปรอบข้างก็อดคิดไม่ได้ว่าที่นี่ไม่เหมาะกับเธอเลยแม้แต่น้อย หากไม่เพราะได้เจ้าสัวกิตติศักดิ์เมตตา เธอคงไม่มีโอกาสได้เหยียบย่ำเข้ามาที่นี่ พ่อคงไม่มีโอกาสได้เปลี่ยนที่รักษาและความหวังของเธอก็คงลดน้อยลงไปทุกที
หญิงสาวนั่งอยู่ที่ล็อบบี้ก่อนจะหยิบไส้กรอกออกมาจากกระเป๋า ตั้งแต่เช้าเธอตะเวนสมัครงานก่อนจะเดินทางมาเยี่ยมผู้เป็นพ่อ ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลยแม้แต่นิดเดียว พิมพิกาเงยหน้ามองไปยังชั้นบน รู้สึกว่าที่นี่โอ่โถงราวกับไม่ใช่โรงพยาบาล รอบด้านเต็มไปด้วยร้านอาหารแบรนด์ดัง หากไม่มีหมอกับพยาบาลเดินขวักไขว่ เธอคงคิดว่าเป็นห้างสรรพสินค้า
“จะมองอีกนานไหม”
เสียงใครบางคนดังขึ้นด้านข้าง พิมพิกาหันไปมองก่อนถอยห่างด้วยความตกใจ ไกรวีปรายตามองหญิงสาวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขาสวมแว่นตาดำและหน้ากากอนามัยสีเดียวกัน เขาปกปิดมิดชิดทำให้เธอนั้นไม่ทันสังเกตว่าชายที่นั่งอยู่ข้างๆคือว่าที่เจ้าบ่าวของเธอเอง
“คุณวี!”
“พ่อให้ฉันให้มารับเธอไปลองชุด”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบติดไม่พอใจเล็กน้อย เขานั่งรอเธอกินไส้กรอกจนหมดถุง ทั้งที่ท้องก็ร้องดังไม่แพ้กัน อยากรู้จริงๆว่าหากเขาแสดงตัวเร็วกว่านี้ พิมพิกาจะมีน้ำใจหยิบยื่นของอร่อยให้เขาบ้างหรือไม่
“คุณมารอนานแล้วเหรอคะ”
“ก็ตั้งแต่ตอนที่เธอยัดไส้กรอกเข้าปาก”
หญิงสาวหน้าแดงไม่ใช่เพราะเขินแต่รู้สึกอาย ด้วยความหิวโหยเธอจึงยัดอาหารใส่ปากจนแก้มตุ่ย หากรู้ว่าคนข้างๆคือไกรวีเธอคงจะกินให้เรียบร้อยกว่านี้
“เราจะไปที่ไหนกันเหรอคะ”
ชายหนุ่มถอดแว่นออกก่อนที่เขาจะส่งสายตาดุให้หญิงสาว