บทที่ 5
ชายชราทั้งสองคนใช้เวลาที่เหลือดื่มด่ำสุราชั้นเยี่ยม ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันตามประสาเพื่อนรักที่ไม่เจอกันนานหลายสิบปี ด้วยตระหนักดีว่านี่จะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้าย เนื่องจากสังขารเริ่มจะไม่อำนวยเสียแล้ว
“ตกลงตามนั้น”
องค์ชายรูปงามไม่พอใจนักกับข้อแม้มากมายที่ผิงอันได้ร้องขอ ทว่าก็ยอมรับแต่โดยดีเพราะต้องการทำหน้าที่ของลูกและสามีให้ครบถ้วนสมบูรณ์
หวังจื่อเทียนเข้าพิธีแต่งงานด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยอันเป็นเอกลักษณ์ เขาทำทุกอย่างเพื่อให้พระบิดาสบายใจ เพียงชั่วขณะนั้นเอง เขาคิดว่าตนได้เห็นเด็กหนุ่มที่เฝ้าตามหายืนอยู่ไม่ไกลนัก แต่เมื่อมองให้แน่ชัดอีกที จึงสรุปได้ว่าเขาเพียงแค่เหนื่อยจากงานพิธีจนตาฝาดไป
“ราวเดือนหน้าหมอหลวงจะกลับมาจากต่างเมือง เห็นว่าค้นพบสมุนไพรหายากที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายแข็งแรงและมีบุตรเต็มบ้านเต็มเมืองตามดั่งใจหวัง ข้าจะให้ทางหมอหลวงส่งไปให้เจ้าก็แล้วกัน” เสียงของฮ่องเต้ชราปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์อย่างไม่เต็มใจนัก
หวังจื่อเทียนกล่าวลาพระบิดา ก่อนจะเดินทางไปยังตำหนักที่อยู่ใกล้ๆ องค์ชายใหญ่กำลังอุ้มทารกตัวน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่นานด้วยความรัก
พี่ชายของเขาไม่เคยแสดงอาการผิดหวังต่อพระชายาหรือนางสนมที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ทั้งยังแบ่งปันความรักให้กับบุตรีทุกคนอย่างเท่าเทียม
“หวังจื่อเทียน มาดูหลานสาวคนล่าสุดของเจ้าเสียสิ ใบหน้าเหมือนท่านแม่ของพวกเราไม่ผิดเพี้ยน เป็นโชคขององค์หญิงน้อยแล้ว”
ร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์กล่าวด้วยรอยยิ้มอันสดใส เขาไม่แยแสกับเพศของบุตรที่เพิ่งลืมตาออกมาหน้าดูโลก ทั้งยังพอใจที่เจ้าตัวเล็กตรงหน้าดูสุขภาพแข็งแรงดี
หวังเจี้ยนผิง องค์ชายใหญ่มีอุปนิสัยที่แตกต่างจากน้องชายคนเล็กโดยสิ้นเชิง เขาเป็นคนมุ่งมั่นเอาการเอางาน เพียงแค่ย่างเข้าสู้วัยรุ่นไม่นาน ก็สามารถช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของพระบิดาได้เป็นจำนวนมาก
เมื่อเข้าสู่วัยฉกรรจ์เต็มตัวก็ได้จัดการบริหารงานทั้งหมดโดยไม่มีข้อผิดพลาด ภายนอกดูเป็นคนเจ้าสำราญ ด้วยข้างกายมีชายาเอกที่งามราวกับนางสวรรค์และนางสนมอีกนับไม่ถ้วน จึงกล่าวได้ว่าองค์ชายรัชทายาทมีชีวิตความเป็นอยู่ที่น่าอิจฉากว่าทุกบุรุษในใต้หล้า ทว่าเรื่องรัชทายาทสืบสกุลกลับเป็นเรื่องเดียวทำให้ชื่อเสียงของเขายังคงมีตำหนิอยู่บ้าง
“งานเขียนตำราของเจ้าเป็นอย่างไร ไม่เห็นนำมาให้ข้าอ่านชมดูบ้าง” หวังเจี้ยนผิงถามน้องชายหลังจากส่งองค์หญิงตัวน้อยให้กับแม่นม ใบหน้าที่หยอกเย้าบุตรสาวเมื่อสักครู่เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
นับตั้งแต่จำความได้หวังจื่อเทียนก็มีนิสัยเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่ชอบสุงสิงหรือพบปะผู้คน ทั้งยังแสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับงานภายในของวังหลวง สิ่งเดียวที่สองพี่น้องให้ความสนใจตรงกันและนำมาสนทนากันอยู่เสมอคือเรื่องตำราเรียนและบทกวี
“ข้าอ่านเขียนอะไรไม่ได้เลยในช่วงนี้ หลังจากที่ได้ทราบข่าวว่าทารกน้อยเป็นเพศหญิง เสด็จพ่อก็เริ่มรุกข้าหนักมากขึ้น แต่ท่านก็รู้ว่าข้ากับผิงอันคงไม่สามารถทำให้เสด็จพ่อสมหวังได้” องค์ชายหวังจื่อเทียนกล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้เขาไม่สามารถคิดอ่านอะไรได้ในช่วงนี้
“เจ้าอย่าได้กังวลไป ข้าสาบานกับท่านแม่ว่าจะดูแลเจ้าให้ดีที่สุด ปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้เถิด อีกอย่างตอนนี้ชายาเอกคนงามของข้าเหมือนจะมีอาการแพ้ท้อง กำลังรอหมอหลวงมาตรวจดูว่าเท็จจริงประการใด” องค์ชายใหญ่ยืนยันหนักแน่นว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่หวังจื่อเทียนต้องมากังวล เขายังมีสนมและนางกำนัลอีกหลายต่อหลายคนไว้ให้พยายามต่อ
“ข้ารักลูกของข้าทุกคน ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายหรือองค์หญิงก็ตาม ได้แต่หวังว่าสักวันบ้านเมืองเราจะอนุญาตให้สตรีเป็นรัชทายาทได้ เรื่องนี้ข้าคงต้องฝากไว้ให้ฝ่ายวิชาการอย่างเจ้าเป็นคนคิด แก้ไข และเปลี่ยนแปลงเพื่อให้บ้านเมืองเราได้พัฒนาและก้าวหน้ายิ่งขึ้น”
หวังจื่อเทียนถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจนับได้ ร่างสูงผ่อนนั่งคลายอารมณ์อยู่ในสวนสวยที่เขาจัดการออกแบบตกแต่งด้วยสองมือของตน เหล่าดอกไม้นานาพรรณที่มักทำให้เขาใจเย็นอยู่เสมอ กลับมีมนต์วิเศษไม่มากพอที่จะทำให้อารมณ์ขุ่นมัวที่เกิดขึ้นในวันนี้จางหายไป
การปรากฏตัวของร่างเล็กเพรียวระหงและนางกำนัลอีกสองคน ทำให้องค์ชายรองต้องเริ่มปรับลมหายใจอีกครั้งเพื่อข่มอารมณ์โกรธที่เข้ามาผสมโรงกับอารมณ์ขุ่นมัวที่มีมาแต่เดิม ดวงตาคู่เรียวเพ่งความสนใจไปยังดอกบัวที่กำลังบานสะพรั่ง สีหน้าไม่ยินดียินร้ายของหวังจื่อเทียน บังคับให้ผิงอันในวัยยี่สิบสี่ปีเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่สบายใจนัก
“วันนี้ท่านดูเคร่งเครียดกว่าทุกวันที่ผ่านมา ท่านพี่หวังเจี้ยนผิงไม่ได้บุตรชายอีกแล้วหรือ”
มือเรียวเล็กบรรจงรินชาชั้นดีที่ส่งตรงมาจากแดนใต้อย่างตั้งใจ ผิงอันมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ต่างจากเจ้าของบ้าน แต่ภายในใจร้อนรุ่มยิ่งกว่าน้ำชาที่นำมาบรรเทาความเหนื่อยล้าให้บุรุษตรงหน้าเสียอีก
