บทที่ 4
ห้าปีผ่านไป...
“เห็นทีข้าคงจะหมดหวังเสียแล้ว พี่ชายเจ้าก็ได้แต่ผลิตลูกสาวออกมาจนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะจากองค์หญิงเองหรือพวกนางสนมก็ล้วนไร้วาสนา แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเจ้า ที่แม้แต่ลูกสักคนก็ไม่มีมาให้ข้าได้ชื่นใจ สงสัยราชวงศ์ของเราคงจะต้องจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้เป็นแน่”
เสียงทุ้มจากปากของฮ่องเต้ชราดังก้อง องค์ชายหวังจื่อเทียนถึงกับเสียกิริยา ลอบถอนหายใจเพราะตกที่นั่งลำบาก เมื่อองค์ชายรัชทายาทไร้ความสามารถที่จะผลิตรัชทายาทสืบเชื้อสาย ความคาดหวังจึงตกอยู่ที่เขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ การหาผู้สืบทอดต่อจากเขาและพี่ชายกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกวัน
“เจ้าเองก็ตบแต่งภรรยาครองเรือนมานานกว่าห้าปีแล้ว ยังไร้วี่แววของทายาทสืบสกุล หวังว่ามันคงไม่เกี่ยวกับปัญหาทางด้านสุขภาพของเจ้า อย่าว่าข้าใจยักษ์ใจมารเลยนะ ขอให้เหตุผลที่เจ้าไม่มีหลานให้ข้าเป็นเพราะผิงอันทีเถิด เพราะข้าทำใจไม่ได้จริงๆ”
“เสด็จพ่อ ข้าว่าไม่ถูกต้องนักที่จะกล่าวโทษนาง ท่านคงพอเดาได้ว่าข้าก็แอบมีซุกซนตามประสาผู้ชายบ้าง แต่ไม่เคยมีใครอุ้มเด็กตัวเล็กๆ มาแสดงสิทธิ์เลยแม้แต่ผู้เดียว ชะรอยตอนท่านแม่เบ่งข้าออกมา หมอตำแยคงจะทำคลอดผิดท่ากระมัง”
หวังจื่อเทียนพยายามแทนที่ความกดดันด้วยความขำขัน แต่เหมือนจะไร้ผล เขาจึงเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องอื่น เพื่อให้พระบิดาสบายใจขึ้น อาจจะเป็นเรื่องโกหก แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ชายชราเก็บความกังวลนี้ไว้นานจนเกินสมควร
“เสด็จพ่อโปรดวางใจ อีกไม่กี่วันผิงอันจะเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัว นางเล่าให้ฟังเมื่อไม่นานมานี้ ว่ามีวัดแห่งหนึ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ใครอยากมีบุตรก็จะไปขอพรสวดภาวนาที่นั่น” หวังจื่อเทียนรีบเอ่ยสมทบ เมื่อสังเกตเห็นท่าทีสนใจของพระบิดาที่มีต่อสถานที่ดังกล่าว
“ในทีแรกข้าเห็นเป็นเรื่องเหลวไหล จึงบอกนางว่าข้าจะไม่ร่วมเดินทางไปด้วย แต่ถ้าเสด็จพ่อเห็นว่าการเดินทางนี้คุ้มค่าแก่การเสียเวลา ข้าก็จะไปกับนาง แม้จะไม่เชื่อว่าเทวดาหรือผีสางนางไม้จะบันดาลให้ข้าทำใครท้องได้ก็ตาม” องค์ชายรองแสร้งฝืนใจยอมตรากตรำลำบากเดินทางไกล เพื่อทำให้ความปรารถนาของพระบิดาเป็นจริง
“เอาเถิด ดีกว่าไม่พยายามอะไรเลย หวังว่านางจะได้ลูกชายสมปรารถนา และอีกอย่าง ตั้งแต่เจ้าไปขอลูกสาวคนเดียวของบ้านต้าหวังมา ก็ไม่เคยกลับไปเยี่ยมครอบครัวของเมียเจ้าอีกเลย เจ้าคงไม่มีใครที่นั่น แต่ผิงอันคงจะพอมีคนให้คิดถึงอยู่บ้าง”
“ข้าจะถือโอกาสนี้เดินทางไปเยี่ยมเยียนท่านเสนาบดีด้วยตนเอง คงจะต้องรีบจัดเตรียมข้าวของให้พร้อม เพื่อจะได้เลื่อนกำหนดการเดินทางให้เร็วยิ่งขึ้น” หวังจื่อเทียนเอ่ย ในใจนึกถึงภรรยาที่ป่านนี้คงกำลังเตรียมข้าวของวุ่นวายอยู่
“ถ้านักบวชบอกให้สวดมนต์สิบรอบ เจ้าก็สวดไปเสียร้อยรอบเถิด จะได้รีบมีลูกเร็วๆ กลัวจะเหมือนข้าที่มามีลูกตอนแก่แล้ว จะตายเสียก่อนที่จะได้เห็นหน้าหลานชาย” ฮ่องเต้ชรายังคงบ่นพึมพำ มือเหี่ยวย่นโบกเบาๆ เป็นการปฏิเสธนางกำนัลที่กำลังจะเติมชาที่พร่องไป
ชั่วขณะหนึ่ง ไม่รู้อะไรดลใจให้ภาพของเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้ม ปรากฏขึ้นชัดเจนในความทรงจำที่หวังจื่อเทียนเคยมีต่อเมืองเล็กๆ ทางแดนใต้ ช่วงเวลาไม่กี่วันที่พักอยู่ในบ้านต้าหวัง เขาพยายามมองหาเด็กหนุ่มคนนั้น แต่กลับไม่พบ การแต่งงานที่เกิดขึ้นได้ช่วงชิงเวลาว่างของเขาไปเสียหมด ไหนจะต้องปลอบใจว่าที่เจ้าสาวไม่ให้สติแตก เพราะยังทำใจไม่ได้กับงานมงคลที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนั่นอีก
องค์ชายรองยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี พระบิดาได้ออกอุบายให้ร่วมเดินทางไปเยี่ยมเยียนสหายเก่าแก่ที่บ้านต้าหวังด้วยกัน โดยไม่แจ้งถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง
หวังจื่อเทียนค่อนข้างตกใจเมื่อทราบข่าวว่าตนต้องแต่งงานกับผิงอัน แต่ด้วยมารยาทที่ถูกอบรมมาเป็นอย่างดี ทำให้สามารถซ่อนความตื่นตระหนกเอาไว้ในใจได้
ผิงอันเสียอีกที่เป็นฝ่ายหน้าซีดตัวสั่นจนแทบไม่สามารถยืนอยู่ได้ตลอดงาน นางฝืนใจรับของหมั้นหมายจากทางวังหลวง และขอตัวพักผ่อนทันทีที่ทราบว่าฤกษ์มงคลคืออีกสองวันถัดจากนี้ ใบหน้าอมทุกข์นั้นมีอะไรมากกว่าการถูกจับคลุมถุงชนกับชายหนุ่มที่เพิ่งเคยได้พบหน้า
ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษที่ดี หวังจื่อเทียนจึงขอเข้าพบและพูดคุยกับผิงอันเป็นการส่วนตัว โดยอธิบายให้นางฟังว่าการแต่งงานในครั้งนี้นับเป็นข่าวใหม่สำหรับตนเช่นกัน
คาดว่าทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันเพราะพระบิดาตั้งใจจะดัดนิสัยชอบเก็บเนื้อเก็บตัวของเขา และหากมีอะไรที่จะทำให้นางสบายใจขึ้นได้บ้าง องค์ชายรองก็ยินดีที่จะทำมัน
ทั้งคู่ใช้เวลาคุยกันอยู่หลายชั่วยาม ตามที่สาวใช้รายงานให้ฮ่องเต้และท่านเสนาบดีทราบ ผู้สูงอายุเห็นเหมาะควรแล้วเรื่องให้เวลาว่าที่บ่าวสาวได้ทำความรู้จักกันให้มากขึ้น จึงไม่ได้ขัดข้องแต่ประการใด
