บทที่ 3
“ไม่มีประโยชน์หรอกเหม่ยฟาง สิ่งที่ข้าสงสัยมาตลอดเกี่ยวกับการมาของทางวังหลวงนั้นไม่ผิดแล้ว ข้าถูกบังคับให้แต่งงานกับองค์ชาย เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ต้องการไปจากที่นี่ แต่จะได้ประโยชน์อะไรจากการขัดขืนกันเล่า ถึงอย่างไรลูกสาวบ้านนี้ก็ต้องแต่งงานกับองค์ชายหวังจื่อเทียนอยู่แล้ว!”
มือเรียวมองสิ่งของสำคัญที่ได้มา ก่อนจะเดินไปปาลงในเตาผิงอย่างไม่ใยดี ใบหน้างามเผยความโกรธปนความเสียใจที่ซ่อนไว้ไม่มิด
“ท่านพี่ไม่ไปไม่ได้หรือ มีอะไรที่ข้าทำได้บ้าง ข้าเป็นแค่บุตรบุญธรรมจะเป็นตัวแทนได้หรือไม่ เราน่าจะลองไปปรึกษาคุณแม่บ้านดูเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง”
สาวน้อยพยายามหาทางออก สิ่งที่พูดนั้นไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แม่บ้านตันหยงเป็นผู้อาวุโสที่ท่านเสนาบดีแห่งบ้านต้าหวังเคารพก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหญิงชราจะมีอำนาจยิ่งใหญ่ไปกว่าคนจากทางวังหลวง
“เจ้าทำอะไรไม่ได้หรอกเหม่ยฟาง ทางเดียวที่จะช่วยได้คือเจ้าต้องแต่งงานกับองค์ชายหวังจื่อเทียน ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเจ้ามีใบหน้าที่งดงามราวกับสวรรค์สร้าง อีกไม่กี่ปีข้างหน้าคงไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธเรื่องที่เจ้าจะกลายเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุด แต่ทางวังหลวงต้องการเจ้าสาวในวันที่เจ้าก็ยังเด็กเกินไป” ผิงอันหัวเราะทั้งน้ำตา นางซาบซึ้งในน้ำใจของคนตรงหน้าเป็นอย่างมาก
“ข้ามั่นใจว่าท่านทั้งคู่จะต้องมีความสุข ได้ยินมาว่าองค์ชายหวังจื่อเทียนมีรูปร่างสูงสง่า ใบหน้างดงาม จิตใจโอบอ้อมอารี ส่วนคุณหนูผิงอันแห่งบ้านต้าหวังก็ได้ชื่อว่างามล้ำกว่าสตรีใดในแดนใต้ ผู้คนที่พบเจอต่างพากันตกหลุมรัก องค์ชายรองเองก็คงไม่ต่างจากผู้อื่น” เหม่ยฟางกล่าวปลอบใจคนกำลังเศร้า
“ถึงอย่างไรข้าก็คงไม่มีความสุข ไม่ว่าองค์ชายจะรูปงามหรือประเสริฐเพียงใด ข้าก็ไม่สามารถมีความสุขกับเขาได้ เจ้ายังเด็กคงไม่เข้าใจหรอกว่าเรื่องความรักมันบังคับกันได้ยาก”
ผิงอันยิ้มโศกให้กับน้องสาวตัวเล็ก ก่อนจะขอแยกตัวไปพักผ่อนตามลำพัง เพราะไม่ต้องการให้ผู้เยาว์ต้องเห็นน้ำตาของตนมากไปกว่านี้
เหม่ยฟางนึกสังหรณ์ใจ จึงแอบย่องกลับไปยังห้องโถง เมื่ออยู่ในระยะที่ใกล้มากพอจึงมองเห็นใบหน้าอันชัดเจนของบุคคลที่เป็นสาเหตุทำให้คุณหนูใหญ่ต้องร้องไห้ ใบหน้านั้นดูคุ้นตาอย่างประหลาด เมื่อเพ่งมองให้ดีก็ถึงกับต้องอึ้งไป เพราะองค์ชายจากเมืองหลวงก็คือนายทหารคนนั้นนั่นเอง!
เหม่ยฟางถึงกับขยี้ตาอีกครั้งเพราะยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองกำลังเห็น บุรุษร่างสูงใหญ่ที่คว้าตัวนางเอาไว้ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า ยามนี้กลับปรากฏตัวในฐานะองค์ชาย เขาแต่งองค์ทรงเครื่องแตกต่างจากเดิมลิบลับ ซ้ำยังแลดูมีสง่าราศีราวกับมิใช่ชายแปลกหน้าที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดแก้มนวลของนาง
ผ้าเช็ดหน้า!...
นึกไม่ถึงเลยว่าผ้าผืนนั้นจะเป็นสมบัติขององค์ชาย ร่างบางเข้าใจว่ามันเป็นเพียงผ้าเช็ดหน้าธรรมดาๆ ของทหารนายหนึ่งที่ปรารถนาดี ไม่อยากให้เด็กหนุ่มใบหน้ามอมแมมกลับบ้านก็เท่านั้น เมื่อรู้เช่นนี้แล้วเหม่ยฟางจึงรีบวิ่งกลับไปยังห้องของคุณหนูผิงอัน ด้วยหวังจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พบว่าอีกฝ่ายนอนร้องไห้จนผล็อยหลับไปเสียแล้ว
เหม่ยฟางเหม่อมองใบหน้างามที่หลับไปทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยว เมื่อสำนึกได้ว่าการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้สร้างประโยชน์อันใด จึงตัดสินใจเก็บมันไว้เป็นความลับ นางเดินไปหยุดอยู่หน้าเตาผิงตรงมุมห้อง มองดูปรากฏข้าวของเครื่องใช้ที่ได้รับจากองค์ชายมอดไหม้อยู่ในนั้น
แม้จะเอ่ยปากตกลงไปแล้ว แต่การกระทำของผิงอันในเชิงสัญลักษณ์เปรียบเสมือนการปฏิเสธการแต่งงาน นางไม่ได้มีความสุขจากการถูกคลุมถุงชนในครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย ของขวัญที่ได้รับจากองค์ชายรองจึงกลายเป็นเถ้าถ่านอยู่เช่นนี้เอง
พิธีมงคลอันยิ่งใหญ่จนเป็นที่เลื่องลือได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ทว่าดวงหน้าของผิงอันยังคงหม่นหมอง ทำเอาคนรอบข้างนึกสงสาร หัวใจของนางแทบแหลกสลายในยามที่ต้องลาจากคนในครอบครัว แต่ก็เป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าคุณหนูใหญ่แห่งบ้านต้าหวังกำลังจะได้ไปอยู่สุขสบาย และในท้ายที่สุดคู่บ่าวสาวคงจะเกิดใจปฏิพัทธ์ต่อกันไปเอง
หากจะมีใครสักคนที่เข้าใจความรู้สึกของเจ้าสาวหมาดๆ อย่างผิงอัน ก็คงมีเพียงคุณแม่บ้านตันหยงที่กุมความลับไว้ทั้งหมด
