บทที่ 17
“ข้าจะพูดและทำทุกอย่างอยากที่ข้าต้องการ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเองก็เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ที่ทางวังหลวงห่วงและหวงยิ่งกว่าสมบัติล้ำค่า ก็ให้รู้กันไปว่าองค์ฮ่องเต้จะเลือกแม่ทัพคนโปรดหรือสะใภ้ที่ไร้ทายาทสืบสกุล” ลู่เหวินเจี๋ยปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระทันทีที่ได้สติ ยากจะคาดเดาได้ว่าเขากลัวนางจะเจ็บตัวหรือนึกรังเกียจจนไม่อยากแตะต้อง
“เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกทำทุกอย่างตามใจตัวเองแบบนี้เสียทีนะผิงอัน ข้าต้องทำอย่างไรให้เจ้าหยุดเห็นแก่ตัวและเลิกเอาความต้องการของตนเองเป็นใหญ่ตลอดเวลาเช่นนี้”
อดีตแม่ทัพถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เมื่อสำนึกได้ว่าประโยคที่กล่าวออกไปนั้นค่อนข้างรุนแรง อย่างไรเสียผิงอันก็อ่อนกว่าเขาเกือบสิบเจ็ดปีและไม่ใช่คู่ปรับที่เหมาะสม
“ทุกอย่างสายเกินกว่าที่จะแก้ไขได้แล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะท่านมิยอมเอ่ยปากกับท่านพ่อเมื่อเจ็ดปีก่อน ชีวิตของข้าจึงไม่ต่างจากนักโทษที่ถูกจองจำ หมดสิ้นอิสรภาพไร้ซึ่งความสุข”
ผิงอันน้ำตาคลอด้วยไม่สามารถข่มความน้อยใจที่แล่นขึ้นมาจากอก ลู่เหวินเจี๋ยไม่เคยมองเห็นความทุกข์ของนาง ซ้ำยังกล่าวเสมอว่าคุณหนูใหญ่ของบ้านต้าหวังทำให้เขาปวดหัวได้มากกว่าศัตรูหรือกองทัพไหนๆ ต่างจากคุณหนูเล็กโดยสิ้นเชิง
“นึกถึงแต่ความต้องการของตนเองไม่มีเปลี่ยน! ใบหน้าสะสวย ทว่าจิตใจกลับคับแคบ บอกข้าทีว่าอิสรภาพของเจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับเหม่ยฟางด้วย นางบริสุทธิ์และไร้เดียงสา คิดหรือว่าจะรอดจากเล่ห์เหลี่ยมของคนเมืองได้โดยง่าย”
อดีตแม่ทัพเอ่ยออกมาอย่างวิตก เขาสัมผัสด้วยตนเองหลายต่อหลายครั้งเมื่อพาเหม่ยฟางออกไปเปิดหูเปิดตานอกบ้าน จนท้ายที่สุดต้องจัดการให้นางสวมใส่ของชุดบุรุษ เพื่อลดปัญหาที่เกิดจากความงามราวกับสวรรค์กลั่นแกล้งนี้
“ท่านทั้งรักทั้งหวงเหม่ยฟางมากขนาดนี้ แปลกใจนักที่ไม่ขอนางจากท่านพ่อไปเสียให้หมดเรื่อง”
ผิงอันเผลอตัวเอ่ยวาจาประชดประชัน ลู่เหวินเจี๋ยเป็นหม้ายมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว ทั้งยังไร้ทายาทสืบทอดสกุลลู่ สตรีหลายนางพยายามทุ่มเทมอบความรักให้ ทว่าเขากลับไม่ตอบรับและนิ่งเฉยกับโอกาสที่มีเข้ามาอย่างมากมาย
“คิดเองเออเองอีกแล้ว! ข้าเอ็นดูเหม่ยฟางเสมือนคนในครอบครัวก็เท่านั้นเอง คิดหรือว่านางมีความสุขที่พี่สาวถูกพรากไปจากบ้านต้าหวังอย่างกะทันหัน ซ้ำยังใจร้ายไม่เคยติดต่อกลับมาจนเวลาล่วงเลยผ่านไปกว่านานถึงห้าปี นางต้องเติบโตอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางกฎระเบียบอันเข้มงวดเพียงลำพัง เจ้าคิดว่าข้าควรละเลยไม่สนใจนางเช่นนั้นหรือ”
อดีตแม่ทัพจ้องหน้าผิงอันเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ ร่างบางนิ่งเงียบด้วยรู้ดีว่าผู้เฒ่าทั้งสองคงทำให้เหม่ยฟางอึดอัดจริงดั่งเขากล่าว
“จงจำคำของข้าเอาไว้ให้ดี หากมีใครหาญกล้าแตะต้องเหม่ยฟางแม้เพียงปลายเล็บ มันผู้นั้นจะต้องรับผิดชอบอย่างหนัก คอยดูก็แล้วกันว่าข้านั้นเก่งแต่เพียงลมปากหรือไม่”
ลู่เหวินเจี๋ยเอ่ยเสียงเบาแต่ทรงพลัง ร่างสูงขึ้นม้าจากไปพร้อมกับความสงสัยว่าเหตุผิงอันถึงได้ดื้อดึงให้น้องสาวบุญธรรมร่วมเดินทางไปยังเมืองหลวง
ผิงอันนึกสงสัยว่าลู่เหวินเจี๋ยจะทำเช่นไร หากทราบว่าคนที่อาจหาญแตะต้องเหม่ยฟางคือองค์ชายหวังจื่อเทียน เขาคงต้องละเว้นองค์ชายรองเพราะยศถาบรรดาศักดิ์ที่แตกต่าง และนั่นหมายความว่านางจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียว ทว่ามิทันได้จินตนาการถึงบทลงโทษที่จะได้รับ คุณหนูใหญ่ของบ้านก็ถึงกับคอแห้งผากเสียแล้ว
ร่างบางฝืนยิ้มให้กับคนที่วิ่งเข้ามาปลอบใจ แม้เหม่ยฟางกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แต่ก็ยังเผื่อเวลามาห่วงใยผู้อื่นอยู่เสมอ เมื่อตรองดูแล้วก็ยิ่งรู้สึกผิด หากนางสละความต้องการส่วนตัวตั้งแต่ต้นและยอมฝืนทำหน้าที่ภรรยา น้องสาวบุญธรรมผู้นี้ก็คงไม่ต้องลำบากใจ
ในอดีตลู่เหวินเจี๋ยคือแม่ทัพหนุ่มอนาคตไกล รุ่งโรจน์ในหน้าที่การงานและเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ ทว่ากลับอับโชคเมื่อเป็นเรื่องส่วนตัว เขาสูญเสียคนในครอบครัวเกือบทั้งหมดเพราะโรคระบาด ในขณะที่ออกนำศึกเพื่อปกป้องประเทศ ความเจ็บปวดกัดกินหัวใจจนด้านชา
เขาลาออกจากงานราชการและใช้เวลาว่างที่ช่วยเหลือหัวเมืองตามชายแดนที่ประสบปัญหาทางธรรมชาติ แม้เกษียณงานจากเมืองหลวงนานแล้ว ทว่าก็ยังคงมีบทบาทหน้าที่ไม่ต่างจากเดิมนัก
หากเหม่ยฟางต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เขาคงต้องจำยอมกลับเข้าวังหลวงอย่างเสียมิได้ อดีตแม่ทัพภาวนาให้องค์ฮ่องเต้ยังมีเมตตาต่อเขาอยู่และไม่ถือโทษกับเรื่องราวที่เคยก่อไว้ในอดีต
