บทที่ 14
“หลังจากที่มารดาของคุณหนูผิงอันจากไป บ้านก็ไร้ซึ่งนายหญิง ท่านเสนาบดีจึงตั้งใจที่จะตบแต่งภรรยาที่สองเข้าบ้านต้าหวัง แต่กลับไม่เป็นไปตามแผน เพราะหญิงสาวจากต่างเมืองที่ท่านเสนาบดีได้เตรียมการสู่ขอ กลับหักหลังและหนีไปกับนายทหารผู้หนึ่ง ข้ายังจำใบหน้าที่งดงามราวกับนางสวรรค์นั้นได้ ความงามของนางสามารถหลอกล่อบุรุษเพศให้ทำตามที่ประสงค์ได้อย่างไม่ยากนัก”
“เช่นนั้นท่านก็รู้ว่าบิดามารดาของข้าคือใคร และตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกันแน่” เหม่ยฟางถามเสียงสั่น ในชีวิตแม้จะได้รับความรักจากคนในบ้านต้าหวังอย่างท่วมท้น แต่ก็อดโหยหามันจากผู้ให้กำเนิดมิได้ เมื่อคุณแม่บ้านเอ่ยมาเช่นนี้ ความหวังที่ริบหรี่จึงเรืองรองขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าไม่อยากให้ท่านตั้งความหวังไว้สูงมากนัก มารดาของท่านทนความลำบากมิไหว จึงซมซานกลับมาขอความช่วยเหลือจากท่านเสนาบดี และในที่สุดก็เสียชีวิตจากการให้กำเนิดท่าน ส่วนนายทหารผู้นั้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรมิมีใครทราบได้”
ตันหยงเอ่ยด้วยความสงสาร นางรู้ดีว่าการสะกิดแผลเก่านี้จะทำให้เหม่ยฟางสะเทือนใจ คนตายไม่มีทางที่จะฟื้นคืนมาได้แม้จะถูกเอ่ยถึงกี่ครั้งก็ตาม
“ท่านเสนาบดีเห็นว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเด็กทารกที่เกิดมา จึงได้รับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม แม้ใบหน้าของคุณหนูที่เหมือนกับมารดาอย่างไม่ผิดเพี้ยนจะกวนใจท่านอยู่มากก็ตาม อีกอย่างซินแสประจำตระกูลของเราตรวจดวงชะตาของท่านหลังจากรับเข้ามาเป็นบุญธรรม ก็พบว่าเป็นดวงของคนที่หาคู่ครองได้ยาก”
“คุณหนูคงจะแปลกใจที่อายุปูนนี้แล้วยังไม่ได้ตบแต่งออกจากเรือน ชายหนุ่มหลายคนที่เคยพบเจอและหมายปองต่างต้องถอยหนีหลังจากตรวจดูดวงชะตา ใช่ว่าไร้ทางแก้ แต่หากท่านต้องการครองรักอย่างเป็นสุขก็จำต้องถือพรหมจรรย์ตลอดไป มิเช่นนั้นดวงของท่านก็จะทำลายคู่ครองให้ล่มจม”
“ให้ถือพรหมจรรย์หลังจากแต่งงานเห็นทีจะเป็นเรื่องยาก แล้วถ้าหากข้าไปอยู่กับองค์ชายหวังจื่อเทียนอย่างที่ท่านพี่ผิงอันต้องการ องค์ชายจะไม่เดือดร้อนหรือ”
เหม่ยฟางสับสนกับสิ่งที่ได้ยิน หากดวงของนางเป็นกาลกิณีเสียขนาดนี้ คงไม่เป็นการดีที่จะต้องไปอยู่ใกล้บุคคลสำคัญของแผ่นดิน
“ซินแสกล่าวว่าดวงท่านจะไม่ส่งผลกระทบหากไม่ได้ตบแต่งผ่านพิธีมงคล การตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้จึงไม่ส่งผลร้ายต่อชะตาชีวิตขององค์ชาย”
ตันหยงเอ่ยย้ำเพื่อให้เหม่ยฟางคล้อยตาม แม้นางจะเอ็นดูหญิงสาวเป็นอย่างมาก แต่หน้าที่หลักคือการดูแลบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านเสนาบดีและภรรยาคนแรก ยายทวดของผิงอันคือผู้มีพระคุณที่รับเลี้ยงนางไว้ตั้งแต่ยังเด็ก มิเช่นนั้นหญิงชราคงไม่ได้ใช้ชีวิตยืนยาวจนถึงทุกวันนี้
“คนแก่อย่างข้าขอสอนคุณหนูเป็นครั้งสุดท้าย การที่คุณหนูผิงอันเมตตาท่านมาโดยตลอด นับเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวง นางจะปล่อยให้ชีวิตของคุณหนูลำบากอย่างไรก็ได้ แต่กลับรักและเอ็นดูราวกับน้องสาวแท้ๆ คุณหนูควรจะสำนึกให้มาก”
ก่อนที่ตันหยงจะพร่ำพรรณนากรอกหูเพิ่มเติม เหม่ยฟางก็ชิงตัดบท “ข้าเข้าใจทุกอย่างชัดเจนดีแล้ว หากการตั้งครรภ์แทนท่านพี่จะทำให้ปัญหาทุกอย่างหมดไป ข้าก็ยินยอมทำตามที่ท่านพี่ต้องการ แต่ข้าขอให้อาโปร่วมเดินทางไปกับข้าด้วยได้หรือไม่”
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง คุณหนูผิงอันแจ้งมาตั้งแต่เช้าแล้วว่า ต้องการให้อาโปไปรับใช้ที่ตำหนัก อันนี้ข้าเองก็ไม่เข้าใจนักว่าเด็กคนนั้นมันมีดีอะไร เห็นก็แต่พากันซุกซนไปเรื่อย” หน้าที่เกลี้ยกล่อมจบลงแล้ว แม่บ้านชราอาสาไปส่งข่าวให้กับผิงอันก่อนที่จะเลยไปพักผ่อนที่ห้อง
มือเรียวของเหม่ยฟางวางปากกาขนนกหลังจากเขียนจดหมายถึงลู่เหวินเจี๋ยสำเร็จ ร่างบางกลั้นสะอื้นเมื่อนึกได้ว่าตนต้องจากบ้านหลังที่คุ้นเคยภายในไม่กี่วันข้างหน้า นางไม่รู้จักใครดีพอที่จะฝากฝังให้ดูแลบิดาชราได้ จึงต้องไหว้วานอดีตแม่ทัพให้คอยเป็นหูเป็นตา
คุณหนูเล็กของบ้านใช้เวลาตลอดสัปดาห์ที่เหลืออยู่ปรนนิบัติพัดวีท่านเจ้าของบ้าน ใจอยากอธิบายเหตุผลที่ต้องเดินทาง เพื่อไม่ให้บิดาคิดว่าตนต้องการไปอยู่สุขสบาย แต่กลับมิกล้าเอื้อนเอ่ยสิ่งใด เหม่ยฟางก้มลงกราบท่านเสนาบดีชราที่ให้ความเมตตาต่อนางอยู่เสมอ และคราวนี้สายตาของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักมากกว่าที่เคย
“แน่ใจแล้วหรือว่าอยากจะไปอยู่ที่เมืองหลวงกับพี่ของเจ้า” เหม่ยฟางพยักหน้าก่อนจะยิ้มให้ท่านเสนาบดีทั้งน้ำตา ถึงเวลาแล้วที่นางจะต้องตอบแทนผู้มีพระคุณ ด้วยการไม่ทำให้ตระกูลต้องเสื่อมเสีย คุณหนูผิงอันจะต้องให้กำเนิดรัชทายาทตามที่ทุกคนต้องการ
