บทที่ 10
โดยปกติแล้ว อู่ฉาง ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด แม้จะได้รับคำเตือนจากบิดาหลายครั้งก็ยังเพิกเฉย แต่คราวนี้เขากลับยอมล่าถอยโดยง่าย เนื่องจากอดีตแม่ทัพผู้นี้มีอิทธิพลกว้างขวาง แม้แต่เสนาบดีเจิ้งอี้เหยียนยังต้องเกรงใจ เขาภาวนาให้ตนเองไม่ได้ลอบมองเหม่ยฟางอย่างจาบจ้วงและหื่นกระหาย เพราะแม่ทัพลู่เหวินเจี๋ยจดจำมันได้ดี และได้คิดบัญชีเรื่องนี้อย่างหนักในภายหลัง
“โตเป็นสาวแล้วสวยขนาดนี้ อย่าออกจากบ้านจะดีกว่าไหมเหม่ยฟาง” สิ้นเสียงนุ่มทุ้ม ร่างสวยต้นเหตุของความวุ่นวายถึงกับยิ้มกว้างและรีบไปแสดงความเคารพต่อคนคุ้นเคย อดีตแม่ทัพลู่เหวินเจี๋ยเป็นแขกคนสำคัญของบ้านต้าหวัง แต่กลับห่างหายจากการเยี่ยมเยียนไปนานกว่าสามปี
“ข้าต้องขอบคุณท่านอามากที่เมตตาช่วยเหลือ หากไม่ได้ท่านอา อันธพาลคนนั้นคงจะรังแกข้ากับอาโปแล้ว” เหม่ยฟางยิ้มหวานอย่างเอาอกเอาใจเหมือนกับสมัยที่ยังเป็นเด็ก
ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มให้นางและอาโปอย่างนึกเอ็นดู ก่อนจะอาสาไปส่งที่บ้านต้าหวัง ท่านเสนาบดีพอทราบเรื่องเข้าก็กล่าวขอบคุณพร้อมกับกำชับไม่ให้นางออกไปเที่ยวตลาดอีก
เหม่ยฟางถึงกับน้ำตาคลอ เพราะนางหมดโอกาสที่จะออกไปดูโลกภายนอก จนลู่เหวินเจี๋ยออกปากอาสาดูแล ท่านเสนาบดีจึงยอมผ่อนปรนให้ พร้อมทั้งเอ่ยชวนให้เข้ามาดื่มน้ำชาพูดคุยกันดังกาลก่อน
อาโปผู้มีหูตากว้างขวางสืบได้ความว่า อดีตแม่ทัพถูกขอให้ไปช่วยงานราชการที่เขตชายแดนอยู่หลายปี และตอนนี้ได้เกษียณตามที่ตั้งใจแล้ว แต่ผลงานที่มีมากในช่วงวัยฉกรรจ์ยังทำให้เป็นที่ต้องการตัวอยู่เรื่อย
ราวสองวันก่อนนี้เองที่ลู่เหวินเจี๋ยมาเอ่ยลา เนื่องจากจำต้องไปทำธุระสำคัญที่ต่างเมือง พร้อมทั้งกำชับไม่ให้นางออกไปไหนมาไหนแต่เพียงลำพังผู้เดียว เขาห่วงใยเหม่ยฟางราวกับคนในครอบครัว และยังรู้นิสัยของนางดีว่ามักจะแอบออกไปก่อเรื่อง หากถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวให้อยู่แต่ในบ้านต้าหวังเป็นเวลานานจนเกินไป
“อย่าคาดหวังใครดูแลเจ้าเลยเหม่ยฟาง หากเจ้าไม่รู้จักระมัดระวังตนเองเสียก่อน คนอย่างอู่ฉางมีมาก ข้าไม่อยู่ในช่วงนี้ก็จงระมัดระวังตัวให้ดี ห้ามก่อเรื่องหนีเที่ยวอีก” หากหนุ่มใหญ่ทราบว่าแม่หลานสาวตัวดีมานอนเล่นรับลมอยู่บนภูเขาเพียงคนเดียวเช่นนี้ ก็คงจะปวดหัวหนักเป็นแน่
แม่สาวจอมพยศนอนหลับตารับลมไปเรื่อย ใบหน้ารูปไข่อมยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อนึกได้ว่าพรุ่งนี้จะได้พบกับพี่สาวที่พลัดพรากจากกันไปนาน เหม่ยฟางดีใจยิ่งนักที่ผิงอันตัดสินใจเดินทางมาเพียงผู้เดียว ไม่ได้พกเจ้าของหัวใจของนางมาด้วย
ทันใดนั้นเองร่างบางก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อจูบอันดุดันทาบทับลงมาบนริมฝีปากที่อ่อนนุ่มราวกับกลีบกุหลาบ แม้พยายามผลักไส ทว่าอกกว้างที่แข็งแกร่งราวกับภูผานั้นไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อยนิด อันตรายที่ทุกคนพยายามสั่งสอนให้นางหลีกเลี่ยงได้เกิดขึ้นแล้ว!
เหม่ยฟางรู้สึกราวกับว่าหัวใจของนางกำลังถูกบีบรัดอย่างรุนแรง มือเรียวต่อสู้อย่างหนักเพื่อขัดขืนการจูบ ทว่ากลับถูกเขารวบมันไว้โดยง่าย และเมื่อได้จังหวะสูดลมหายใจผ่านจมูกโด่งปลายรั้น กลิ่นกายที่คุ้นเคยอย่างน่าประหลาดก็ทำให้นางถึงกับต้องตัวแข็งราวกับท่อนไม้ ร่างบางหลับตาลงอย่างหมดแรงและปล่อยให้เขารุกล้ำจนกว่าจะพอใจ
หวังจื่อเทียนบดขยี้ริมฝีปากของคนตรงหน้าจนสาแก่ความต้องการ เจ้าของใบหน้างามในตอนนี้ดวงตาปิดสนิท คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเพราะความตื่นตกใจ องค์ชายรองสาบานว่าได้ยินเสียงหัวใจสองดวงเต้นแรงราวกับแข่งขันกันอยู่
เจ้าของรอยจูบอันแสนหวานกำลังรู้สึกตื่นตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาต้องยอมรับว่าในวินาทีแรกที่พบกับร่างบาง ภายในใจรู้สึกผิดอย่างมหันต์ที่มีความรู้สึกแปลกประหลาดเกินขึ้น ความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับบุรุษด้วยกัน ทว่าเมื่อได้ยินน้ำเสียงและบทสนทนาที่มีต่อเพื่อนสาวใช้ ก็ทราบทันทีว่าเจ้าของร่างบางคือสตรีที่มีน้ำเสียงไพเราะงดงามเช่นเดียวกับใบหน้า
ดวงตากลมโตค่อยๆ ลืมขึ้น ใบหน้าแดงจัดราวกับว่านางอยู่ท่ามกลางแดดเป็นเวลานาน เหม่ยฟางมองเห็นคนตรงหน้าไม่ชัดนัก เพราะดวงตะวันส่องอยู่ในทิศทางที่ไม่อำนวยแก่การจ้องมอง แต่ด้วยสัญชาตญาณก็ทำให้รู้ได้ในทันทีว่าคนตรงหน้าคือเจ้าของผ้าเช็ดหน้าลายมังกรผืนนั้น
ร่างบางลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกิดอาการซวนเซ องค์ชายรองจึงถือโอกาสโอบกอดคนตรงหน้าอย่างที่ปรารถนา ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงที่เร่าร้อนสุดบรรยาย
“จะหนีไปไหนกันเล่าแม่นาง ข้าเพิ่งจะเริ่มเองแท้ๆ”
