รักในวันที่ลำบาก(2)
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนส่งข้อความหาแฟนสาว จากนั้นเขาจึงปิดโทรศัพท์และกลับไปงานต่อจนเสร็จสิ้น ก่อนเลิกงานเพียงสองชั่วโมง ยศวินลงมาคุยกับลูกน้องหนุ่ม ระบายปัญหาชีวิตให้ฟัง
“เมื่อไหร่เขาจะหายโกรธพี่”
ยศวินรู้สึกว่าเตียงนอนกว้างใหญ่เมื่อไม่มีภรรยานอนอยู่เคียงข้าง กว่าจะรู้ตัวว่าทำผิดก็สายไปเสียแล้ว ตอนนี้ภรรยาหอบลูกในท้องหนีไป ทั้งเขายังไม่สามารถติดต่อเธอได้ แม้จะพยายามติดต่อไปทางเพื่อนและคนรอบตัวของอีกฝ่าย แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันปกปิด ทั้งยังต่อว่าต่อขานเขาต่างๆนาๆ
ชายหนุ่มยอมรับว่าเขาหลงผิดก้าวพลาด ไปวนเวียนอยู่ในสถานที่อโคจรจนภรรยานั้นเข้าไปเห็นว่าเขากำลังนั่งร้องเพลงอยู่ในร้านคาราโอเกะ ทั้งบนตักยังมีผู้หญิงอื่นนั่งอยู่ แต่ถึงแม้จะเห็นคาตาแต่เธอก็ไม่ปริปากพูดอะไรสักคำนอกจากเดินหันหลังออกไปเงียบๆ
ยศวินพยายามตามหาภรรยา ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ไม่พบเธอ เขารู้สึกเครียดจนนอนไม่หลับ คิดไปต่างๆว่าเธออาจจะประสบเจออันตรายถึงได้ขาดการติดต่อไปนานนับสัปดาห์แล้ว
“เดี๋ยวเจ๊เขาก็กลับมา”
ภาคินปลอบใจเมื่อเห็นว่าเจ้านายหนุ่มดูซึมเศร้าอย่างหนัก แม้บางครั้งจะดูปกติดี แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น
“เขาคงโกรธมาก ถึงได้หายไปแบบนี้”
ยศวินอยากจะย้อนเวลากลับไปและปฏิเสธเหล่าเพื่อนฝูงที่นำพาเขาเข้าไปในที่อโคจร แต่คงทำเช่นนั้นไม่ได้ อดีตไม่ได้มีให้แก้ไข ตอนนี้มีเพียงปัจจุบันและอนาคตเท่านั้นฉะนั้นเขาจึงพยายามที่จะตามหาหญิงสาวและลูก ง้องอนเธอให้กลับมาอยู่ด้วยกัน
“ดูฉันเอาไว้เป็นบทเรียนนะคิน อย่าทำอะไรสิ้นคิด อาจจะต้องเสียใจแบบพี่”
ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง คุ้มขวัญสวมชุดพนักงานสีแดงกำลังจัดแจงมอบหมายงานให้พนักงาน ในฐานะผู้จัดการเธอต้องทำงานเป็นสองเท่า ทั้งควบคุมงานให้ดีและยังต้องคอยควบคุมพนักงานไม่ให้สร้างความเสียหาย สินค้านับร้อยชิ้นถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ
“อย่าลืมเช็คป้ายราคาด้วย”
คุ้มขวัญเอ่ยเพราะหลายวันมานี้มีการร้องเรียนเข้ามาว่าที่นี่แปะป้ายราคาไม่ตรงกับผลิตภัณฑ์ ทำให้ลูกค้าเข้าใจคลาดเคลื่อน และหลงซื้อไปโดยไม่ทันได้อ่านรายละเอียดเล็กๆในป้ายสีเหลือง
“แปะให้ตรงกับสินค้า จะได้ไม่โดนว่าอีก”
หญิงสาวตักเตือนพนักงานสาวรุ่นน้องที่มักจะทำงานอย่างเฉื่อยชาราวกับไม่อยากมาทำงาน เธอเคยเตือนหลายครั้งเรื่องความกระตือรือร้นในการทำงาน แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ใส่ใจ ยังคงทำแบบเดิมจนทุกคนต่างก็เอือมระอาในพฤติกรรม
คุ้มขวัญทนไม่ไหว เธอเข้าไปนั่งข้างอีกฝ่ายก่อนจะใช้คัตเตอร์กรีดลังและหยิบขวดน้ำอัดลมออกมาเรียงจนเต็มพื้นที่
“เธอยังอยากทำงานอยู่ไหม”
หญิงสาวเอ่ยถาม แม้ประโยคจะดูแรงแต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยน เธอเข้าใจดีว่าเด็กวัยนี้เป็นวัยที่กำลังต่อต้าน ไม่พอใจอะไรก็ประชดประชันด้วย การเงียบใส่
คุ้มขวัญเจอมาเยอะ ทั้งเด็กฝึกงาน ทั้งพนักงานด้วยกันเอง เธอจึงมีวิธีที่จะรับมือด้วยการใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
“ก็อยากค่ะ”
คำตอบเห็นได้ชัดว่าไม่เต็มใจ ซึ่งคุ้มขวัญเองก็เข้าใจ เธอรู้ว่าการทำงานมันเหนื่อย แต่ตราบใดที่มีภาระหน้าที่ก็ต้องทนทำไป กว่าที่เธอจะก้าวมาอยู่จุดนี้ก็โดนสบประมาทมาไม่รู้เท่าไหร่ แต่เธอก็ไม่เคยสนใจ มุ่มมั่นสร้างผลงานจนผู้บริหารเห็นว่าเธอมีศักยภาพมากพอที่จะรับตำแหน่งผู้จัดการแผนก
“เธอรู้ไหมว่าตอนนี้ทุกคนที่นี่เขามองเธอแบบไหน เธอไม่อยากให้ทุกคนเปลี่ยนมาชื่นชมเธอเหรอ”
“แล้วทำไมต้องเปลี่ยน หนูก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”
หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างใจเย็น
“เราทำงานกับคนหมู่มาก เราก็ต้องปรับตัว”
คุ้มขวัญเองก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เข้ากับใครไม่ได้จนถูกเกลียด แต่สุดท้ายเธอก็ปรับปรุงตัวเพราะจะได้ทำงานกับผู้อื่นได้ง่ายขึ้น หญิงสาวจึงหวังว่าอีกฝ่ายจะทำงานได้อย่างราบรื่นที่นี่เช่นกัน