บทที่ 2 (2)
“มานั่งกินกับน้าตรงนี้เถอะหนูเอม กินเสร็จแล้วจะได้ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว เสื้อผ้าอีกสักครู่คงจะทยอยมาส่ง”
หญิงสาวตาโต “เสื้อผ้าอะไรหรือคะ”
“อ๋อ เสื้อผ้าหนูเอมนั่นแหละจ้ะ เจ้านายของน้าท่านให้เป็นของขวัญสำหรับผู้หญิงที่เอ่อ” หญิงสูงวัยเลือกใช้คำพูดไม่ถูก จะพูดไปตรงๆ ก็กลัวอีกฝ่ายคิดมาก จะพูดอ้อมค้อมก็คิดคำไม่ออก
“เป็นอภินันทนาการสำหรับผู้หญิงที่เจ้านายของคุณน้าเขาจ้างมาเป็นแม่ของลูกหรือคะ” เอมวิกาชิงพูดเสียเอง
“อ่า ก็ทำนองนั้นแหละจ้ะ ท่านชอบผู้หญิงที่แต่งตัวดี สะอาด”
หญิงสาวพยักหน้า เธอเข้าใจที่คุณระย้าพูดมาทุกอย่าง คนมีเงินส่วนมากก็เป็นแบบนี้ “คุณน้าบอกท่านไปเถอะค่ะ อย่าสั่งมาให้เยอะเลย เผื่อเอมไปตรวจแล้วผลออกมาไม่ตรงตามข้อกำหนด ท่านจะเสียเงินฟรี”
คุณระย้าหันไปมองมารดาที่นั่งก้มหน้าตักข้าวต้มใส่ปากเฉยเหมือนไม่ได้สนใจที่เธอกับเอมวิกาคุยกัน แต่เธอรู้ว่าคุณปรุงจิตกำลังกางหูฟังเต็มที่
“หนูจะคิดมากไปทำไม ในเมื่อท่านของน้าออกจะรวยล้นฟ้า จ่ายค่าเสื้อผ้าเท่านี้ขนหน้าแข้งท่านไม่ร่วงหรอกจ้ะ”
“เอมรู้ค่ะว่าเงินไม่ใช่ปัญหาของคนรวย แต่เอมไม่ใช่ว่าจะอยากเป็นฝ่ายรับอย่างเดียวหรอกนะคะ ถึงจะจนแต่ก็มีศักดิ์ศรี” ประโยคหลังแผ่วเบา “แต่ตอนนี้ศักดิ์ศรีเริ่มน้อยลงแล้วค่ะ”
“จ้ะๆ น้าเข้าใจ มาจ้ะเรารีบกินข้าวกันเถอะจะได้รีบไปทำธุระกัน ผลจะออกมายังไงจะได้เลิกคิดกังวลและสงสัย”
เอมวิกาก้มหน้าตักข้าวต้มรสเลิศในชามใส่ปาก เธอไม่เคยกินของอร่อยอย่างนี้มาก่อนเลย เป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มรส อยากให้แม่กับน้องได้กินกันสักครั้ง อยากให้ทุกคนกินเหมือนกันกับเธอ แต่จะมีโอกาสนั้นไหมหนอ
เอาเถอะ รอก่อนนะแม่จ๋า ถ้าเอมกลับบ้านพร้อมกับเงินก้อนโต เอมจะพาแม่กับน้องไปเลี้ยงให้อิ่มแปล้เลย
หญิงสาวคิดถึงความฝันที่จะมีเงินด้วยความสุขใจ ก่อนจะลุกเก็บถ้วยไปล้างแล้วขอตัวขึ้นไปอาบด้วยใบหน้าที่ดีกว่าเมื่อแรกตื่นนอน
คุณปรุงจิตมองตามไปด้วยความกังวล นางหันมามองลูกสาวแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า คุณระย้ารู้ดีว่าสายตามารดาสื่อถึงอะไร แต่เธอไม่รู้จะทำยังไง จึงได้แต่หวังว่าเจ้านายของเธอจะเมตตาเด็กสาวบ้างสักนิดก็ยังดี
ณ บริษัทแห่งหนึ่งในใจกลางของกรุงเทพมหานคร ร่างสูงใหญ่ของผ่านฟ้ายืนเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าโต๊ะเลขา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากอิ่มหนาได้รูปรับกับจมูกโด่งเป็นสัน เม้มเข้าหากันแน่น นิ้วเรียวยาวเคาะกับโต๊ะเบาๆ เป็นจังหวะ กิริยาของชายหนุ่ม ทุกคนที่ทำงานที่นี่เกินหนึ่งเดือนจะรู้ดีว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์เกรี้ยวกราด
“ตอบผมไม่ได้หรือไงว่าใครเป็นคนเอารูปผมกับคุณอรวีไปปล่อยในยูทูป” น้ำเสียงยังราบเรียบ แต่นิ้วเร่งจังหวะการเคาะเร็วขึ้น
“ดิฉันไม่รู้จริงๆ ค่ะ กำลังตรวจสอบอยู่ว่าใครเป็นคนปล่อยรูปพวกนั้นไป” เลขาหน้าห้องคนใหม่ที่มาทำงานแทนคุณระย้ารีบพูด หางเสียงสั่น
“ชักช้าเสียเวลาจริง ไม่ต้องไปหาต้นตอแล้ว แค่เดาผมก็รู้แล้วว่าเป็นใคร แต่แปลกที่พวกคุณไม่มีใครรู้” ตาคมวาวกวาดมองพนักงานแล้วมาหยุดที่เลขา “คุณไม่ใช่มืออาชีพ เอาเถอะครั้งนี้ผมอภัย แต่ครั้งต่อไปผมมีคำถาม คุณต้องมีคำตอบ”
“ค่ะ ขอโทษค่ะท่าน”
“อือ วันนี้มีงานอะไรบ้าง รีบเอามาให้ผมเซ็นได้เลย บ่ายผมมีธุระ” พูดจบเขาก็เดินเข้าห้องไปไม่เสียเวลาหันกลับมามองคนรับคำสั่ง
วิยะดาเลขาสาวนั่งงง เธอเพิ่งมาทำงานได้สองวัน เจอนายจ้างเอาแต่ใจจึงทำอะไรไม่ถูก
“อย่ามัวแต่นั่งงงนะจ๊ะ รีบเอางานเข้าไปให้ท่านเซ็นสิ เดี๋ยวเจอพายุอารมณ์เต็มๆ หรอก” พนักงานที่ทำงานมานานรีบเดินเข้ามาสะกิดให้เธอรีบนำงานเข้าไปให้เจ้านาย
หญิงสาวกล่าวขอบคุณเบาๆ แล้วรีบลุกขึ้นเก็บรวบรวมเอกสารที่จะใช้ เดินดุ่มมาถึงหน้าประตู ขณะกำลังจะยกมือขึ้นเคาะเธอก็ถูกร่างของใครคนหนึ่งชนล้มลง เอกสารในมือร่วงกระจาย
“โอ๊ย” เธอร้องดังด้วยความตกใจ
“แกไม่มีตาหรือไงห๊ะ” เสียงตวาดแหวดังอยู่เหนือหัว วิยะดาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเป็นผู้หญิงที่กำลังเป็นข่าวกับนายจ้างยืนทำหน้าถมึงทึงมองเธอเหมือนจะกินเลือดเนื้อ
“ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่เห็นจริงๆ” เธอละล่ำละลักเอ่ยขอโทษ แต่อรวีไม่สนใจฟัง ยื่นมือไปจับลูกบิดจะเปิดประตู หญิงสาวรีบทำหน้าที่เลขา มือจับชายกระโปรงอีกฝ่ายดึงไว้แน่น “คุณคะ อย่าเพิ่งเข้าไป ให้ดิฉันบอกเจ้านายก่อน”
“แกมาจับกระโปรงฉันดึงทำไม เดี๋ยวผ้าลูกไม้ราคาแพงของฉันก็ขาดกันพอดี เอามือต่ำๆ ของแกออกไป” ดาราสาวทรงโตถือตัวว่าสนิทเข้าออกนอกในห้องนอนของผ่านฟ้าได้สะบัดเท้าออกไปเต็มแรง ท่ามกลางสายตาของพนักงานบริษัทที่มองมาอย่างตกตะลึง “นี่แน๊ะ มือเหนียวเป็นตีนตุ๊กแกไม่ยอมปล่อยก็ต้องเจออย่างนี้”
พลั่ก !!