บทที่ 2 (1)
บทที่ 2
7.00 น.ของเช้าวันใหม่
เอมวิกาตื่นนอนมาด้วยความรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย สาเหตุมาจากการที่เธอนอนไม่ค่อยหลับ ครุ่นคิดถึงแต่เรื่องที่จะไปทำในวันนี้ แม้ว่าตัดสินใจแน่วแน่แล้วจะรับงาน เพื่อเอาเงินที่ได้ไปเลี้ยงดูแม่และน้องๆ แต่เวลาเงียบสงัดของค่ำคืน เธอกลับเกิดความลังเล ไม่แน่ใจ สองจิตสองใจ คิดไม่ออก ปลงไม่ตก
เฮ้อ
หญิงสาวทอดถอนหายใจหลายต่อหลายครั้ง ถ้าการถอนหายใจเปลี่ยนเป็นเงินได้ เธอคงมีเงินกองตรงหน้านับไม่ถ้วนแล้ว
เฮ้อ...
ในยามที่สับสน เธออยากกลับบ้าน อยากกอดแม่ อยากร้องไห้กับอกแม่ อยากได้ยินเสียงแม่ปลอบใจ
เฮ้อ สุดท้ายเธอก็ถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำ เปิดก๊อกวักน้ำล้างหน้า เห็นเงาตัวเองในกระจก มองเห็นความคล้ำของขอบตา รอยหมองที่ผิวหน้า เธอมาถึงกรุงเทพไม่กี่วัน สารรูปเธอทรุดโทรมขนาดนี้เชียว
เอมวิกายิ้มให้กับตัวเองผ่านกระจก เป็นยิ้มที่จืดชืดและเศร้าหมอง มือเรียวเล็กยกขึ้นชูสองนิ้ว มีความหมายว่าให้สู้ ไม่มีแม่อยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจ ก็ต้องเป็นตัวเธอเองที่จะปลุกขวัญและปลอบใจตัวเองให้สู้
แม่จ๋า เอมจะสู้นะคะ สู้เพื่อความอยู่รอดของครอบครัวเรา
หญิงสาวสลัดหัวไปมาเพื่อไล่ความอ่อนแอให้ออกไป น้ำตาหยดหนึ่งไหลเปื้อนแก้มแก้ม เธอรีบยกมือขึ้นปาดออก เชิดหน้าขึ้นสูง หลับตาลงช้าๆ คิดถึงคำสั่งเสียของพ่อ และแววตาของแม่ที่มองเธออย่างมีความหวัง
ครู่ใหญ่ๆ ความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวก็มา เธอกลับเข้ามาในห้องนอนด้วยชุดเดิม มองสำรวจตัวเองจากกระจกโต๊ะเครื่องแป้งที่วางเคียงเตียงนอน สำรวจความเรียบร้อยอีกครั้งแล้วจึงเดินลากเท้าออกจากห้องมาพบคุณระย้ากำลังจะเดินลงไปข้างล่างพอดี
“ตื่นเช้าเหมือนกันนะหนู” หญิงวัยกลางคนเป็นผู้เอ่ยทักขึ้นมาก่อน
“ตื่นเต้นแทบจะไม่ได้หลับทั้งคืนค่ะคุณน้า” หญิงสาวตอบ
“เป็นธรรมดา น้าเข้าใจ ป่ะ ลงไปหาอะไรกินกันก่อน น้านัดคิวคุณหมอที่โรงพยาบาลไว้แล้ว สิบโมงต้องไปถึง”
“ค่ะ” เอมวิกาเดินกระย่องกระแย่งตามติดหญิงสูงวัยลงบันได สีหน้าของเธอคงจะบอกอะไรให้อีกฝ่ายได้รู้ ถึงห้องโถงชั้นล่างคุณระย้าก็หยุดเดินแล้วหันมายิ้มให้
“ไม่ต้องกลัวนะ อย่างที่น้าบอกนั่นแหละ ถ้าไม่ได้งานหนูก็จะได้ค่าเสียเวลา แต่ถ้าได้งานหนูก็จะอึดอัดใจสักปีหรือปีกว่าๆ จากนั้นก็จะสบาย ไม่ต้องลำบากเรื่องเงินทองเหมือนทุกวันนี้”
“เอมก็อดคิดไม่ได้หรอกค่ะคุณน้า บอกตามตรงว่ากังวล”
มืออวบของคุณระย้ากอบกุมมือหญิงสาวไว้แน่น “อย่าคิดในเรื่องของวันพรุ่งนี้ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ในเมื่อเราตัดสินใจที่จะทำก็ลุยและเดินหน้าต่อไป ถ้าจะล้มก็ให้พร้อมลุกขึ้นเพื่อสู้ใหม่ ให้กำลังใจตัวเองเข้าไว้ เมื่อกำลังใจมีอะไรๆ มันก็จะดีขึ้นตามไปด้วย”
“ขอบคุณค่ะคุณน้าที่สั่งสอน”
หญิงสูงวัยยิ้มกว้าง “น้าไม่ได้ช่วยอะไรหนูเลยนะ หนูต่างหากที่ต้องช่วยตัวเอง สู้ๆ จ้ะ”
เอมวิกายกมือไหว้ ขยันมืออ่อนไว้แม่เธอเคยสอน “ขอบคุณค่ะ”
“น้ายินดีที่จะสอนและเป็นกำลังใจให้เสมอ ถ้าหนูจะไม่รำคาญ ป่ะ ไปกินข้าวกันดีกว่า ป่านนี้คุณยายคงรอแล้วแหละ”” คุณระย้าโอบกอดเอวคอดแล้วพากันเดินตรงไปยังห้องอาหารที่อยู่เยื้องไปทางหลังบ้าน “ชอบบ้านนี้ไหมหนู”
“ชอบค่ะ บ้านสวยมาก หลังกะทัดรัด เอมชอบ ใฝ่ฝันว่าจะมีแบบนี้สักหลัง แพงมากไหมคะคุณน้า”
“ก็…แพงนะ” ตอบไปแล้วเห็นเด็กสาววัยคราวลูกหน้าเสียก็ให้รู้สึกเวทนา “แพงเพราะอยู่ในกรุงเทพด้วยแหละ อยู่ที่นี่ก็คิดเสียว่าบ้านนี้เป็นบ้านของหนูไปก่อนนะ ทำใจให้สบายๆ”
“ค่ะคุณน้า”
เดินเลี้ยวหัวมุมมาอีกไม่กี่ก้าว ทั้งคู่ก็มายืนอยู่ในส่วนหนึ่งของห้องอาหารที่มีประตูเชื่อมติดกับห้องครัว
“อ้อ ลงกันมาแล้วเหรอ” คุณปรุงจิตกำลังจัดโต๊ะเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งคู่ “กำลังจะขึ้นไปตามอยู่แล้วเชียว”
“วันนี้มีอะไรกินคะแม่”
“มีข้าวต้มไก่”
“ดีค่ะ ขอสองชามเลยนะคะเผื่อหนูเอมชามหนึ่ง” คุณระย้าเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เห็นเอมวิกาไม่ตามมานั่งก็เงยหน้าขึ้นไปมอง “หนูเอมไม่ต้องไปช่วยคุณแม่ของน้าหรอก มานั่งนี่เถอะ”
“แต่เอมอยากช่วย นะคะคุณยาย”
คุณปรุงจิตเหลือบตามองคุณระย้าแล้วหันมาพยักหน้าให้หญิงสาว “ขอบใจจ้ะแม่หนู งั้นช่วยไปหยิบถ้วยตรงชั้นมาให้ยายหน่อย”
“ได้ค่ะคุณยาย” เอมวิกาเดินไปหยิบถ้วยมาสามใบวางบนโต๊ะรอหญิงชราตักข้าวต้มใส่ เธอทำจมูกฟุดฟิด “กลิ่นห๊อมหอม คุณยายทำน่ากินจัง”
“น่ากินก็กินเยอะๆ จะได้มีแรงต่อสู้กับอุปสรรคในวันนี้และวันต่อๆ ไป” หญิงชราพูดน้ำเสียงเนิบนาบ นางรู้พอๆ กับที่ลูกสาวรู้ แรกๆ ที่เห็นหน้าก็คิดว่าคงเป็นผู้หญิงใจแตกที่ชอบเงิน อยากได้ของใช้แบรนด์เนม แต่เมื่อคืนได้คุยกับคุณระย้าจึงรู้ถึงความจำเป็น วิถีการมองจึงเปลี่ยนไป
“ขอบคุณค่ะคุณยาย”