บท
ตั้งค่า

6

ฮั่วหยางเฟิ่งที่กำลังตั้งครรภ์ เขาได้ซ่อนรูปร่างของตนไว้ในเสื้อผ้าเนื้อหยาบและสวมมันหลายชั้น อีกอย่างยามนี้เขาเจ้าเนื้ออยู่สักหน่อย จึงดูเหมือนคนตัวอวบๆ มากกว่าจะมีทายาทให้บุรุษสักคน

ส่วนบิดาของเด็กๆ เป็นใคร ความจริงแล้ว ภาพทั้งหมดยังดำมืด ชวนให้ครั่นคร้ามใจ

แน่นอนเขาฝันร้ายบ่อยครั้ง ทั้งเห็นแมวสีเทาตัวโต ที่มีร่างเป็นบุรุษสูงใหญ่ที่ชอบเปลือยกาย และทำสิ่งสัปดนกับเขา และภาพของคนที่นอนอยู่ในโลงศพศิลา ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาขนลุกได้เสมอ ฝ่ายนั้นสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าไว้ ทั้งยังส่งไอสังหารคุกคามเขาแม้แต่อยู่ในห้วงความฝัน

และที่น่าเห็นใจ ฮั่วหยางเฟิ่งลืมหลายสิ่ง ส่วนวิชาการแพทย์ที่ในโลกคู่ขนาน เขายังดึงมันกลับมาใช้ไม่ได้อย่างเต็มที่ ทั้งที่เขาเป็นคนเก่ง มากด้วยความรู้ ช่วยชีวิตผู้อื่นให้พ้นความตายมาหลายครั้งหลายหน

อนิจจา นับแต่เดินทางมาอยู่ในร่างนี้ สมองถูกปิดกั้น ด้วยเจ้าของร่างตั้งใจลืมสิ่งเลวร้ายที่ตนได้ก่อไว้ ประกอบกับน้ำแกงลืมเลือนที่ถูกกรอกปากนั้นก็ส่งผลร้ายถึงวันนี้

ยามนั้น ชายหนุ่มปวดข้อมือ มันคงระบมเป็นแน่ เพราะเผยอี้ฮุ่ยออกแรงบีบอย่างหนัก ทว่าเขาไม่ใช่คนอ่อนแอ ที่จะยอมตกเป็นเบี้ยล่างผู้อื่น จึงพยายามดิ้นรนขัดขืน และแกะมือใหญ่ๆ ออก

เมื่อไม่เป็นผลเขาเลยกัดหลังมืออีกฝ่ายไปหนึ่งที

เขี้ยวคมฝังลงที่ผิวรองแม่ทัพ อีกฝ่ายไม่ได้เจ็บ นอกจากนั้นยังอยากรู้ว่าคนเจ้าเนื้อ ผู้ที่มีกลิ่นกายหอมๆ จะมีความสามารถหลบหนีเขาได้อย่างไร คิดได้ดังนั้น เผยอี้ฮุ่ยเลยยอมปล่อยฮั่วหยางเฟิ่งเป็นอิสระ ดวงตาเรียวมองบุรุษเจ้าเนื้อ เขาเป็นทหารมาหลายปี พวกที่ชอบปลอมตัว เพื่อปกปิดฐานะ เหตุใดจะมองไม่ออก ทั้งผิวซึ่งทาให้เข้มกว่าปกติ มองเผินๆ ราวกับเปาปุ้นจิ้นหน้าดำ ถึงอย่างนั้นก็ดูนวลเนียน ชวนให้เขาลงลิ้นไล้ไปตามส่วนที่ไวต่อความรู้สึก

ยิ่งมอง ก็เรียกความทรงจำเขากลับคืนทีละนิด อีกฝ่ายมีใบหน้าตาคล้ายคนผู้หนึ่ง ทว่าเขากลับคิดไม่ออก นั่นเป็นเพราะบิดาของฮั่วหยางเฟิ่ง มักให้ลูกชายคนนี้ซ่อนตัวอยู่ในเรือน และใช้งานยามจำเป็นเท่านั้น เนื่องจากความงามของฮั่วหยางเฟิ่ง เป็นที่เลื่องลือ เรียกได้ว่างามล่มเมืองก็ไม่ผิด ด้วยเป็นตัวต้นเหตุให้เหล่าองค์ชายเปิดศึกกันมาแล้ว

รองแม่ทัพยกยิ้ม หัวใจเขาเต้นแรงกกว่าปกติ คนงามย่อมเป็นเช่นนี้ งามจนเผลอมอง และหัวใจเขาถูกช่วงชิงไป

ดวงตาของอีกฝ่ายกลมโต แพขนตางอนดำ และริมฝีปากแม้จะดูซีดเซียวสักหน่อย แต่ชวนให้เขาอยากดูด อยากส่งลิ้นเข้าไปในโพรงปากด้านใน และแลกลิ้นด้วยความซ่านสยิว

ยิ่งกว่านั้น คนผู้นี้ มีน้ำมีนวล สองแก้มยุ้ยๆ น่าหยิก น่ากัด เรือนร่างดูคล้ายคนกินดีอยู่ดี ชั่วแวบหนึ่ง เขาเกิดความคิดว่า อีกฝ่ายอาจกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ สายตาอันแหลมคมของเผยอี้ฮุ่ย มองสำรวจฮั่วหยางเฟิ่งอย่างพินิจ และทำให้เขากระสันปรารถนาในตัวอีกฝ่าย

ฝ่ายฮั่วหยางเฟิ่ง ประเมินสถานการณ์แล้ว คาดคิดว่า ควรหาทางหลบเลี่ยงจากพื้นที่ตรงนี้ให้ไวที่สุด

“ข้าต้องการคนผู้นั้น หวังว่าใต้เท้าคงไม่ขัดขวาง”

ฮั่วหยางเฟิ่งบุ้ยใบ้ไปยังหนิงเจี้ยนซึ่งถูกทหารหลายคนสกัดเอาไว้ และทหารเหล่านั้นแสดงท่าทางกักขฬะ

“ฮ่ะๆ ๆ หากคิดซื้อทาสชั้นต่ำเหมือนข้า เรื่องนี้เห็นทีต้องมีการแย่งชิงกัน”

ฮั่วหยางเฟิ่งหรี่ตา มองคนตัวสูง พร้อมประเมินสถานการณ์อย่างเร็วรีบ เผยอี้ฮุ่ยคือรองแม่ทัพคนสำคัญขของแคว้นปู้โจว เป็นพวกคนสีเทาๆ และลุ่มหลงอำนาจ อีกทั้งอยู่ฝั่งรัชทายาท ในอดีตเจ้าของร่างไม่เคยพูดคุยด้วย พบปะกันไม่กี่ครั้ง ตามงานสำคัญ

“ไม่ ข้าต้องการให้เขามีชีวิตที่ดีกว่านี้”

“ช่างเป็นคนหนุ่มที่มีเมตตา แต่คุณชายรู้หรือไม่ หากทาสผู้นี้ เข้าไปอยู่ในค่ายทหารและแขวนป้ายรับแขก มันคงใช้เวลาปีสองปีเท่านั้น ก็จะสามารถมีชีวิตสุขสบาย และรับเงินทองมากโข”

ได้ฟังคำพูดดังกล่าวก็ระคายหู แน่นอนเขารู้ว่า สิ่งที่เผยอี้ฮุ่ยกล่าว ย่อมหมายถึงการเป็นโสเภณีในค่ายทหาร คอยปรนเปรอความสุขให้ทหารกลัดมัน

“เมื่อข้ายื่นมือไปเพื่อต้องการสิ่งใด ผู้อื่นก็จงหย่าแส่!”

เมื่อฮั่วหยางเฟิ่งยื่นมือไปช่วยผู้อื่นแล้ว หากไม่สำเร็จเขาย่อมไม่วางมือ

“ฮ่าๆ ๆ ดี เช่นนั้น ข้าเผยอี้ฮุ่ย ก็จะซื้อทั้งทาสผู้นี้ แล้วก็คุณชายไปพร้อมกัน”

กล่าวไม่ทันจบดี เผยอี้ฮุ่ยก็คว้าร่างฮั่วหยางเฟิ่งกลับคืน แล้วสูดกลิ่นกายแสนยั่วยวน

จมูกโด่งซุกไซ้ร่างของฮั่วหยางเฟิ่งอย่างล่วงเกิน คนตัวใหญ่ทั้งแข็งแรง จึงทำให้ฮั่วหยางเฟิ่งยากขัดขืน ความรู้สึกน่าอดสูเป็นเช่นนี้ และมืออีกฝ่ายป่ายแปะสำรวจเนื้อตัวจองฮั่วหยางเฟิ่ง กระทั่งวางที่หน้าท้องนูนขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเริ่มลูบไล้อย่างล่วงเกิน

ฮั่วหยางเฟิ่งตัวแข็งทื่อ

เขาแทบจะหยุดหายใจ และน้ำตาเอ่อคลอหน่วย ไม่ได้กลัว แต่เขาโกรธ ทั้งรู้สึกว่าตนช่างอ่อนด้อย ไม่อาจรักษาศักดิ์ศรีของตน

“คุณชาย เนื้อตัวนุ่มนิ่มดีแท้ ทว่า...หน้าท้องยื่นๆ นี่เล่า สวมเสื้อผ้าหลายชั้น เยี่ยงนี้ ต้องการปกปิดสิ่งใดไว้หรือ!?”

น้ำเสียงเผยอี้ฮุ่ยทั้งเย้าหยอก และต้องการข่มขู่อยู่ในที

ฮั่วหยางเฟิ่งโกรธที่ทำสิ่งใดตอบโต้อีกฝ่ายไม่ได้

“จู่ๆ คุณชายก็เป็นใบ้ขึ้นมา หรือว่าอับอายที่มีมารหัวขนซ่อนเอาไว้ในท้อง และไม่กล้าบอกผู้อื่น เพราะเด็กนั่นไม่มีพ่อ”

เผยอี้ฮุ่ยทำให้ชายหนุ่มโมโหอย่างหนัก ร่างกายนี้จึงร้อนรุ่มขึ้น

“ดูเหมือนจะไม่สบายด้วย ดีเดี๋ยวข้าจะรักษาให้เอง แต่ก่อนอื่น ข้าจะพาคุณชายไปตรวจร่างกาย บุรุษที่ท้องได้ ต้องเข้มงวดกว่าราษฎรอื่นๆ เพราะเป็นภัยร้ายแรง”

ในห้วงเวลาที่ฮั่วหยางเฟิ่งย้อนเวลาเข้ามาในโลกนี้ ชายที่สามารถตั้งครรภ์ได้ มีจำนวนน้อย เด็กเหล่านี้จะมีความพิเศษ เรียกได้ว่ามีความอัจฉริยะเฉพาะด้าน ดังนั้นฝ่ายอธรรม หรือพวกต้องการใช้งานเด็กๆ จึงมักแย่งชิงตัวไป เพื่อฝึกฝน ทำเรื่องชั่วช้า ไม่ก็นำไปเป็นเงา(ตัวแทน) ของผู้มีอำนาจในบ้านเมือง จึงกล่าวได้เด็กเหล่านี้ มีชะตากรรมที่น่าสงสาร หากตกอยู่ในคนชั่ว ยิ่งกว่านั้นเด็กทารกบางคนถูกนำไปปรุงเป็นยาด้วย

เมื่อฮั่วหยางเฟิ่งไม่กล่าวคำใด เผยอี้ฮุ่ยก็ยิ่งย่ามใจ เขาเตรียมจะปลดสายรัดเอวของคนงาม ฝ่ายฮั่วหยางเฟิ่งก็กัดฟันกรอดๆ ร่างกายยามนั้นมันไร้ทางขัดขืน ด้วยรองแม่ทัพหนุ่มฉวยโอกาสกัดจุดเขา

“บัดซบ ทะ ท่านยังเป็นทหาร ที่มีหน้าที่ปกป้องแผ่นดินอยู่หรือ”

“ฮ่ะๆ ๆ นี่แหละคือการทำงานของข้า รัชทายาทไม่ต้องการให้บ้านเมืองนี้ มีกองทัพปีศาจอีก...”

สิ่งที่เผยอี้ฮุ่ยกล่าวคล้ายจะดึงให้ฮั่วหยางเฟิ่ง นึกถึงคนที่สวมหน้ากากเหล็ก และนอนอยู่ใต้ตำหนักวิเวก

“ข้าแค่อยากตรวจร่างกายคุณชาย หากไม่ได้ตั้งครรภ์ ก็ไร้ปัญหา”

รองแม่ทัพกล่าวจบ สายรัดเอวของฮั่วหยางเฟิ่งก็หวิดถูกกระชากขาด และสาบเสื้อหน้าอกหมิ่นเหม่จะถูกแหวกออกเผยให้เห็นผิวขาวอมชมพูด้านใน

แต่เป็นจังหวะเดียวกันนั้นที่ มีเสียงทหาร และชาวบ้านร้องดังขึ้น

หนะ หนู... หนูป่า!

ไม่ใช่แค่หนูนับร้อยตัวที่วิ่งเข้ามาในบริเวณนั้น แต่มันยังไล่กัดทหารของเผยอี้ฮุ่ยด้วย พอกลิ่นเลือดคละคลุ้ง หนูป่าเหล่านั้นก็ยิ่งแสดงความดุร้ายกว่าเดิม

ขณะเดียวกัน เผยอี้ฮุ่ยเตรียมพาฮั่วหยางเฟิ่งออกไปจากบริเวณนั้น แต่กลายเป็นว่าเซเสียหลัก เมื่อจู่ๆ ชายชราผู้หนึ่ง พุ่งถลามาชนเขาอย่างแรง พร้อมฝาดไม้เท้าไปมั่วๆ

ยามนั้นเป็นเผยอี้ฮุ๋ยที่ตัวแข็งค้าง เขาไม่อยากเชื่อว่า เส้นเอ็นจะยึดได้ง่ายๆ ซึ่งเกือบหนึ่งอึดใจ ใหญ่ๆ ถึงสามารถขยับตัว

คราวนี้เขาตวาดเสียงดัง ตั้งใจกลับเข้าไปฉุดลากทั้งฮั่วหยางเฟิ่งและหนิงเจี้ยนอีกหน แต่เป็นชายชราตาคนเดิม ที่ร้องเสียงดัง ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน

“ทหารรังแกประชาชน! ดูเอาเถิด เข้ามาเมืองเผิงเพื่อบังคับให้พวกเราส่งเสบียงไม่พอ ยังจับคนทำมาหากินไปเป็นนางและนายบำเรอให้ค่ายทหาร คนพวกนี้ ยังมีหน้าอยู่ในเมืองเผิงอีกหรือ!”

ซานซือร้องเช่นนั้นอยู่สองสามหน ก็เป็นเหตุใดเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ยามนั้น แคว้นปู้โจวไม่มีศึกภายนอก (หลังจากองค์ชายสาม เซียวเหิงจิ้นปราบกบฏ บ้านเมืองก็สงบ ฮ่องเต้ยังนั่งบัลลังก์มังกรต่อไป) แต่กลับมีการขูดรีดราษฎรอย่างหนัก โดยทางการอ้างว่าคือการเตรียมความพร้อมไว้ และผู้ที่เป็นขุนนางกังฉิน ส่วนมากมาจากฝ่ายของรัชทายาท ซึ่งเป็นขั้วอำนาจตรงข้ามกับเซียวเหิงจิ้น

กระทั่งซานซือเตรียมพาฮั่วหยางเฟิ่งก้าวออกจากพื้นที่บริเวณนั้น ดวงตากลมโตก็เหลือบไปเห็นแมวสีเทาที่ยืนอยู่บนหลังคาของภัตตาคารสูงสามชั้น ดวงตาของมันจ้องมาที่เขา ไม่รู้เหตุใด ดวงตาคู่นั้นช่างคล้ายกับบุรุษที่สวมหน้ากากเหล็ก คนที่ยามนี้เขาเริ่มปะติดปะต่อความทรงจำได้

“พ่อบ้านซาน ชินอ๋อง... เอ่อ เซียวเหิงจิ้น มีความเกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่” คำถามของฮั่วหยางเฟิ่ง ทำให้ทั้งซานซือ และหนิงเจี้ยนต่างหน้าถอดสี

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel