4
เหตุการณ์ก่อนหน้า
องค์ชายสามแคว้น ปู้โจว ผู้มีตำแหน่งเป็นถึงชินอ๋อง กลับมาที่ตำหนักของตนพร้อมชัยชนะที่สามารถปราบกบฏ และขับไล่ไปจากเมืองหลวงสำเร็จ ยามนี้หยาเจียว หรือต้นแป๊ะก๊วย ในช่วงปลายปีที่ปลูกอยู่ในตำหนักผลัดใบจากสีเขียวเป็นส้มอ่อนๆ กระทั่งกลายเป็นสีทองอร่ามงดงาม ทำให้พื้นที่แห่งนี้งดงามชวนให้ตื่นตะลึง ราวกับอยู่ในดินแดนเทพเซียน
“อ๋องจิ้น สีหน้าท่านไม่ดีเอาเสียเลย ดื่มน้ำแกงที่ข้าตั้งใจเคี่ยวอยู่เกือบสองคืนดีหรือไม่ อาจ้านเป็นคนไปหาไก่ฟ้ามาให้ข้าปรุงเพื่อท่านเชียวนะ น้องชายข้าขึ้นเขาแล้วซ่อนตัวอยู่นาน กว่าจะพบมัน”
ฮั่วหยางเฟิ่งว่าแล้วก็ยิ้มอย่างเอาใจ เซียวเหิงจิ้นพยักหน้ารับ ผิดแต่คืนนี้เขาเบื่ออาหาร รู้สึกว่ามองสิ่งใดก็หงุดหงิดไปเสียหมด คงมีแต่นกสุริยันอย่างฮั่วหยางเฟิ่ง ตัวนี้เท่านั้นที่ทำให้เขายิ้มได้
“อาเฟิ่ง เข้าครัวด้วยตนเองเพื่อการใด ได้ยินว่าไม่ใคร่สบาย หลายวันก่อนก็หมดสติในสวนหน้าหอพระมิใช่หรือ”
เซียวเหิงจิ้นเอ่ย และใช้หลังมืออุ่นๆ สัมผัสหน้าผากคนรัก ก่อนเขาต้องมีสีหน้าไม่พอใจ ด้วยเนื้อตัวคนงามอุ่นจัด ดูเหมือนมีไข้อ่อนๆ
“เอ่อ เป็นข้าที่ดื้อรั้น ไหว้พระขอพรให้ท่านพ้นภัย และกำจัดกบฏไปให้หมดสิ้น จึงไม่ได้สนใจดูแลตนเองเท่าที่ควร ยามนี้ อ๋องจิ้นกลับเมืองหลวงแล้ว ข้าย่อมไร้สิ่งกังวล” เขาว่าเสียงหวาน และยังพยายามป้อนน้ำแกงไก่ฟ้าให้เซียวเหิงจิ้น
“ลองชิมสักนิดดีหรือไม่ ยังอุ่นๆ อยู่ เดี๋ยวเย็นชืดอาจไม่ถูกปากท่าน”
“ดี ข้าอยากรู้นัก ห่างกันนานนับเดือน น้ำแกงเจ้ายังจะหวานเหมือนใบหน้างามนี้หรือไม่” เซียวเหิงจิ้นเอ่ยแล้วก็สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรจากถ้วยน้ำแกง ปลายจมูกโด่ง ขยุกขยิกเล็กน้อย คล้ายกับว่าเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นที่ตนไม่ชอบใจ
“กลิ่นฉุนเกินไปหรืออ๋องจิ้น”
ฮั่วหยางเฟิ่งถาม น้ำเสียงสูงกว่าปกติ
“ปละ เปล่า คงเพราะท้องยังว่าง ไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องนอกจากสุรา” เอ่ยจบเขาก็จิบน้ำแกงจากช้อนที่คนงามตักให้ พอลิ้นรับรสจึงรู้สึกว่าถูกใจมิน้อย
“ให้ข้าดื่มเองเถิด”
เซียวเหิงจิ้นว่าจบจึงยกถ้วยน้ำแกงดื่มจนหมด ยามนั้นสายตาของฮั่วหยางเฟิ่งจับจ้องเขาไม่วางตา ราวกับวางแผนบางสิ่งไว้ และมันได้ลุลวงแล้ว
“ข้าขอให้อ๋องจิ้นสุขภาพแข็งแรงตลอดไป”
“ฮ่าๆ ๆ ข้าย่อมเป็นเช่นนั้น เมื่อมีเจ้าอยู่เคียงข้าง และนอกจากน้ำแกงเลิศรส อาเฟิ่ง มีสิ่งใดพูดคุยกับข้าหรือไม่”
ที่เขาเอ่ยปากถามเช่นนั้น ด้วยจับสัญญาณบางอย่างจากอีกฝ่ายได้ ฮั่วหยางเฟิ่ง เก่งกาจรอบด้าน เป็นบุรุษที่เฉลียวฉลาด บิดาเป็นเจ้ากรมการคลัง จึงได้ศึกษาความรู้หลายแขนง ชำนาญสุดก็คงเป็นเรื่องสมุนไพร ผิดแต่เขาเป็นคนปกปิดสีหน้าตนไม่เก่ง เซียวเหิงจิ้นจึงจับพิรุธครั้งนี้ได้
“ขะ ข้า...”
ฮั่วหยางเฟิ่งเกิดความว้าวุ่นใจ คืนนี้ตั้งใจทำสิ่งสำคัญ ซึ่งมันเป็นทางเดียวที่จะทำให้คนผู้นั้น ก้าวขึ้นเป็นใหญ่ รวมกำลังเอาไว้ทั้งหมดสำเร็จ และบ้านเมืองย่อมกลับมาสงบสุข
“ขะ...ข้าดีใจนักเมื่อเห็นอ๋องจิ้นอีกครั้ง”
ฮั่วหยางเฟิ่งบอก เสียงเขาสั่น ดวงตาก็มีน้ำใสๆ เอ่อคลอหน่วย
“ดีใจจนน้ำตาล่วงเชียวรึ เด็กน้อยของข้า” ชายหนุ่มว่าแล้วก็ใช้นิ้วใหญ่ๆ ของตนเช็ดน้ำตาที่ไหลล้นขอบตา
ด้วยกลัวแผนของตนล้มเหลว ฮั่วหยางเฟิ่งพยายามดึงสติตัวเอง ยามนั้นริมฝีปากที่เคลือบด้วยชาดสีแดงสั่นระริก
“เจ้าหนาวหรือ อาเฟิ่ง” เอ่ยถาม ก่อนถอดเสื้อคลุมของเขาสวมทับให้บุรุษตัวบางกว่า
“ข้าเพียงแต่ อดหวั่นใจไม่ได้ จริงอยู่ มีกบฏมากมายที่อ๋องจิ้นจัดการ บ้างก็เสียชีวิต บ้างหนีตายห่างออกไปนากำแพงเมืองหลายร้อยลี้ แต่ศึกภายในไฟยังไม่มอดดับ”
“อาเฟิ่ง เมื่อมีข้าอยู่ตรงนี้ เจ้ายังหวั่นกลัวสิ่งใด”
ดวงตาดอกท้อสานสบดวงตาคมกริบของเซียวเหิงจิ้น มองเพื่ออ่านความนัยที่เขาส่งมาให้ตน
“เพราะมีท่าน...ข้าจึงอุ่นใจ” ฮั่วหยางเฟิ่งไม่เอ่ยเพื่อเอาใจเขา แต่รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
“ข้าจะเป็นขาทองคำให้เจ้าเกาะเสมอ...” เขาว่าและใช้ปลายนิ้วยาวทาบบนริมฝีปากอวบอิ่ม ที่สั่นน้อยๆ
ปลายนิ้วเขาไล้ช้าๆ ไม่ได้ต้องการปลุกสิเน่หา เพียงแต่อยากให้คนรักรับรู้ถึงความห่วงใย
หัวใจฮั่วหยางเฟิ่งเต้นระรัวแรง ด้วยมีหสิ่งคับแน่นให้อก อยากบอกกล่าวเขา ทว่าคนตัวโตเอ่ยขัดไว้
“ไม่ต้องกล่าวสิ่งใด”
“ตะ แต่ข้า”
เซียวเหิงจิ้นค่อยๆ ใช้จมูกโด่งสวยชนกับปลายจมูกอีกฝ่าย ถูไถพอให้ลดความเครียด จากนั้นเขาก็จุมพิต คือจุมพิตอ่อนหวานแผ่วเบา
“โอ้...อ๋องจิ้น!”
ฮั่วหยางเฟิ่งตกใจ รีบผลักอกแกร่งออกห่างตัว แต่เซียว
หยางเฟิ่งกลับรั้งร่างบางเข้ากลับคืน และเอ่ยเสียงเข้มขึ้นสักหน่อย เสียงที่คล้ายเป็นการตำหนิ
“นี่ไม่ใช่ สิ่งที่อาเฟิ่งต้องการหรอกหรือ”
หัวคิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน เกือบสองปีที่เขาทำตามคำสั่งบิดา เพื่อให้ได้ใกล้ชิดเซียวเหิงจิ้น แล้วใช้เสน่ห์ปั่นหัวอีกฝ่าย คือแผนที่เขาเองก็เต็มใจ เพราะเมื่อทำสำเร็จ เขาจะเป็นคนโปรดของบุรุษอีกคนที่หลงรักมาเนิ่นนาน
“ข้าจะเป็นบุรุษเดียวที่ได้ครอบครองเจ้า และใครหน้าไหน ก็ไม่มีใครพรากเจ้าไปจากชายผู้นี้”
ฮั่วหยางเฟิ่งรับรู้ว่าอีกฝ่ายปรารถนาในตัวเขา แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจดวงนี้มอบให้เซียวตันเหวิน ผู้เป็นพี่ชายต่างมารดาของเซียวเหิงจิ้น
“ข้า คงเป็นผู้โชคดีอย่างที่สุด หากอ๋องจิ้น...ให้ได้รับใช้ใกล้ชิด”
เซียวเหิงจิ้นหัวเราะหึๆ ก่อนเคลื่อนริมฝีปากไปบดเบียดริมฝีปากฮั่วหยางเฟิ่ง เขาจูบหนักหน่วง และรุนแรงราวกับต้องการดูดกลืนวิญญาณอีกฝ่าย
ปลายลิ้นของเขาแทรกผ่านเข้าไปข้างในโพรงปากหวานฉ่ำ ดูดดุน เร่งเร้าเพื่อให้เรียวลิ้นเล็กๆ แสนขี้อายของฮั่วหยางเฟิ่งตอบรับพายุอารมณ์ที่ซัดกระหน่ำ
เขาตวัดปลายสิ้นสาก ราวกับเป็นกระบี่อ่อน ที่จอมยุทธ์ใช้กำราบศัตรู ไล่รุกหนักหน่วง สลับคอยตั้งรับ และมันทำให้ร่างกายของฮั่วหยางเฟิ่งอ่อนระทวย กระทั่งเขาไล่ต้อนสำเร็จ และได้ชิมความหวานล้ำ ชายหนุ่มจึงดูดริมฝีปากล่างอีกฝ่ายที่บวมเจ่อขึ้นอย่างแรง ก่อนเม้มแล้วกัดเบาๆ พอให้อีกฝ่ายได้เลือด
เมื่อฮั่วหยางเฟิ่งถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ก็เหมือนว่าถูกดูดกลืนวิญญาณไป และยังไม่ทันหายใจทั่วท้องด้วยซ้ำ เสียงดุดันที่เจือด้วยโทสะได้เอ่ยถามอย่างคาดคั้น
“มาหาข้าพร้อมน้ำแกงไก่ฟ้าในคืนนี้ อาเฟิ่งประสงค์สิ่งใดกันแน่ หวังว่าเจ้าคงไม่เป็นธุรให้อ๋องเหวินหรอกนะ” ผู้ที่เขากล่าวถึงนั้น ก็คือรัชทายาท
ฮั่วหยางเฟิ่งอ้ำอึ้งไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงรอ...รอเวลาให้โอสถพิษทำงาน