3
เช้าวันใหม่
ด้วยความที่ชอบกิน ประกอบกับอาชีพเดิมของเขามีความเร่งรีบในการทำงานเสมอ เมื่อก่อนจึงไม่ใคร่ได้ลิ้มรสชาติอาหารอย่างที่ควรจะเป็น ในโลกที่จากมาเขาเลยเป็นคนหนุ่มที่ผอมอยู่สักหน่อย ทว่าเมื่ออยู่ในโลกคู่ขนาน เขาสามารถเนรมิตอาหารง่ายๆ ได้อย่างชำนาญ และก็ถูกปาก มีรสชาติดี
และยามนี้ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ฮั่วหยางเฟิงย่อมรู้ดีว่าตนเองไม่ได้อ้วน ร่างกายใหม่ถูกฝึกมาอย่างหนัก ทั้งยังมีกล้ามเนื้อสวยงาม ทว่าสิ่งที่นูนอยู่กลางหน้าท้อง มันคือชีวิตน้อยๆ ที่ยามนี้นับได้เกือบห้าเดือนเศษ อีกทั้งเขายังมีอาการเหนื่อยง่ายในบางครั้ง บางวันแพ้อาหาร ตัวร้อน หนักสุดคืออาการที่ชวนให้น่าหวาดหวั่น เขาปรารถนาอยากร่วมรักกับบุรุษ ไม่ใช่ร่วมรักแบบธรรมดา เขาอยากซาบซ่านสยิวใจ ทั้งบนเตียงในที่ลับตาผู้อื่น ทั้งหมดย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับแมวสีเทาไร้ยางอาย ซึ่งมันมีอีกร่างเป็นบุรุษตัวสูงใหญ่ เรื่องนี้ประหลาดมาก แน่นอนกว่าเขาจะทำใจยอมรับได้ก็ใช้เวลาพักใหญ่ทีเดียว
“โอ้ ข้าท้อง!?” ฮั่วหยางเฟิ่งเพ้อเหมือนคนเบาปัญญา และคำนี้ก็หลุดปากบ่อยครั้ง และเขาไม่รู้ว่าใครเป็นบิดาของเด็กในครรภ์ มันคล้ายภาพความฝันสีเทาๆ น่ากลัว และเขาภาวนาว่าอย่าให้เกี่ยวข้องกับแมวปีศาจที่กลายร่างเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ได้
ฮั่วหยางเฟิ่งคนใหม่ พยายามปรับตัวเข้ากับโลกคล้ายจีนโบราณอย่างที่สุด กระทั่งได้รับความช่วยเหลือให้มาอยู่ในบ้านบรรพชนของสกุลจ้าว ได้ทำสวนผัก เลี้ยงไก่ เป็ด หมู ทั้งหมดคือผลผลิตที่ใช้ในการเลี้ยงชีพ
“นายน้อย...”
เสียงชายวัยกลางคนร้องถาม ฝ่ายนั้นคือคนที่พาเขามาเรือนบรรพชนสกุลจ้าวที่ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้ เนื่องจากถูกฆ่าตายทั้งหมด
ซานซือเป็นคนเก่าคนแก่ในตระกูลฮั่ว ซึ่งหลังจากถูกไล่ล่าฆ่าล้างตระกูลต่างหนีเอาตัวรอด ฝ่ายฮั่วหยางเฟิ่งต้องอยู่ที่อย่างเงียบๆ ไม่แสดงตัวให้ผู้อื่นรู้
ฮั่วหยางเฟิ่งมองตาเฒ่าซาน
“มีสิ่งใดหรือ”
“บ่าวมาแจ้งว่า เตรียมไข่ไก่ มะเขือเทศเรียบร้อยแล้ว คงเหลือขนมหัวผักกาดที่นายน้อยนึ่งเอาไว้ เพื่อนำไปเถ้าแก่ตง”
“ได้สิ เดี๋ยวข้าจัดการให้ ช่วงนี้ลำบากลุงซานหน่อยนะ ที่ต้องเดินทางปล่อยกว่าแต่ก่อน อีกทั้งยามนี้ข้าแพ้อาหารหนัก ชิมสิ่งใดแล้วไม่ค่อยถูกใจ จึงจำเป็นต้องได้ลุงมาช่วยเหลือเรื่องรสชาติ”
เขาบอกเช่นนั้น และกลัวว่าฝีมือตนเองจะตก ทว่าซานซือไม่เห็นด้วย รสมือคนผู้นี้นับว่า เมื่อก่อนมีฉายาโอสถพิษ แต่ยามนี้กลับใช้ปรุงอาหารได้ระดับเทพเซียน อาจกล่าวได้ว่าร้อยปีถือกำเนิดยอดพ่อครัวเทวดา
“หามิได้ นายน้อยมีรสมือล้ำลึก อีกทั้งขนมหัวผักกาดนั้นกลมกล่อม เนื้อนุ่มแต่เด้งสู้ลิ้นและฟัน ถั่วต้มที่อยู่ด้านใน ทั้งยังเห็ดหอมก็เสริมกันอย่างลงตัว พริกไทยที่ใส่เข้าไป สร้างความเผ็ดร้อนเป็นอย่างดี ที่ขาดไม่ได้คือ ผักขึ้นฉ่าย ทั้งใบ และก้านของมันเพิ่มความสดชื่นยิ่งนัก”
ได้ฟังซานซือกล่าวมาทั้งหมด ฮั่วหยางเฟิ่งก็ยิ้ม เขามีนักชิมที่ดี และยังอธิบายอาหารที่เขาปรุงได้อย่างละเอียด
“ข้าดีใจที่ลุงซานไม่ทอดทิ้ง คนเขลาผู้นี้”
ซานซือมองผู้เป็นเจ้านาย ในอดีตเขาเป็นทั้งพ่อบ้าน อีกทั้งคอยดูแลฮั่วหยางเฟิ่งตั้งแต่แบเบาะ ลมหายใจที่เหลืออยู่ อย่างไรย่อมมีไว้ดูแลเพื่อฮั่วหยางเฟิ่ง รวมถึงชีวิตน้อยๆ ที่อีกฝ่ายกำลังอุ้มท้อง
“ความจริงแล้ว ล้วนเป็นบ่าวที่บกพร่องต่อหน้าที่ จนนายน้อยลำบากถึงเพียงนี้”
“ลุงซาน ข้านับเจ้าเหมือนญาติ ดังนั้นอย่าคิดมาก อีกอย่างของที่เตรียมไว้เพื่อนำไปเพียงพอแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปจัดขนมหัวผักกาด และเราจะออกจากเรือน ไปตลาดกัน”
“เอ นายน้อยจะไปกับบ่าวหรือขอรับ”
“ใช่ เกลือหมด และยังมีของที่ข้าอยากเตรียมไว้ เพื่อทำจานอาหารอื่นๆ ไว้ส่งขายภายหน้า ข้าจะได้มีเงินพอสำหรับพักฟื้น ยามคลอดเด็กน้อยในท้อง”
ซานซือพยักหน้าอย่างเข้าใจ กระนั้นก็อยากเอ่ยห้าม แต่อีกฝ่ายยกมือห้ามไว้
“สองมือ สองเท้าข้ายังดี อีกอย่างทำอาหารพอใช้ได้ หากไม่คิดหยิบจับอะไร เพื่อหาเงินทอง ไม่แน่... เราต้องอดตายเข้าสักวัน”
ฮั่วหยางเฟิ่งเอ่ยจบ ก็เตรียมหมุนตัวไปยังห้องครัว ทว่าเป็นตอนนั้นที่เด็กในท้องเริ่มดิ้น เขารู้สึกเจ็บปวด จนแทบทรุดลงไปกองบนพื้น แต่แสร้งยิ้มให้ซานซือ
“เจ้าไปรอข้าที่ด้านนอกเถิด อีกสักชั่วหนึ่งก้านธูปดับ ข้าก็เตรียมของเสร็จ...”
บอกชายชราผมขาวแล้ว ฮั่วหยางเฟิ่งก็พาตัวเองไปนั่งพัก การหายใจเขาไม่ปกติ ร่างกายอ่อนเพลียมาก อาการดังกล่าว ไม่ใช่แค่เขาถูกแมวปีศาจทำเรื่องไร้ยางอายเท่านั้น เมื่อคืนเขาลุกขึ้นมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวแล้ว ก็ไปอ่านตำราอาหารและเรื่องสมุนไพร แต่เผลองีบหลับ และได้พบเรื่องที่ชวนให้ประหลาดใจ ฮั่วหยางเฟิ่งได้อ่านเรื่องของคนผู้หนึ่ง ฝ่ายนั้นดูลึกลับ มีกลิ่นอายของความตายโอบคลุมร่าง ตัวเขาไม่ใช่คนขี้กลัว ถึงอย่างนั้นการได้พบเห็นเรื่องดังกล่าวก็ทำให้ครั่นคร้ามใจ นั่นเป็นเพราะมีฮั่วหยางเฟิ่งอีกคน ซึ่งดูร้ายกาจและแสนอำมหิต
ณ ตำหนักวิเวิก
(ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นตำหนักเย็น) ด้านล่างมีสุสานลับ ซึ่งถูกปิดตายเอาไว้
หนูตัวนั้น มันเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเขาอีกแล้ว นอกจากกัดแทะเสื้อผ้า มันยังบังอาจพยามทำลายหน้ากากเขา หวังกัดแทะใบหน้างดงามนี้
เซียวเหิงจิ้นคำรามอยู่ในใจ นั่นคือสิ่งเดียวที่เขาทำได้ ร่างกายเขาแข็งทื่อ ความตายหรือ หึๆ ๆ สำหรับเขา สิ่งนี้ยังไม่ใช่จุดจบของชีวิต เขานอนนิ่งอยู่เช่นนี้ คล้ายหนอนหรือคางคกจำศีล เวลาล่วงผ่านไปนานเท่าใด เขาไม่อาจคะเนได้ อาจเป็นแค่หนึ่งวันหรือพันปี แล้วต่างกันเช่นไร ในเมื่อยามนี้ เขาไร้ซึ่งหัวใจ มิรู้สึกเจ็บปวด เนื่องจากถูกหมุดควบคุม เจ็ดอารมณ์ หกปรารถนา ถึงอย่างนั้นก็รับรู้ได้ถึงการถูกจองจำเอาไว้ในที่คับแคบ และแม้จะไร้หัวใจ แต่ภาพต่างๆ ยังวิ่งวนในหัว เป็นความทรงจำที่บ่มเพาะ ซึ่งนับระเบิดทุออกมา
พวกหนูสกปรกและตะกละยังพยายามกัดแกะหน้ากากเขาอยู่เช่นนั้น และชินอ๋องผู้มีนามว่า เซียวเหิงจิ้น ได้แต่ส่งเสียงในใจอย่างกึกก้อง ความบังอาจของมันสมควรได้รับโทษอย่างสาหัสหากเขาสามารถฟื้นคืนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่โทษของพวกมัน ดูเหมือนจะเล็กน้อยราวกับฝุ่นผง หากเทียบกับสิ่งที่บุรุษผู้นั้นได้กระทำต่อเขา และฮั่วหยางเฟิ่ง คือผู้ที่เมื่อนานมาแล้วเคยกางปีกงดงามพร้อมส่องแสงสว่างนำทางเขา หากยามนี้อีกฝ่ายกล้าโบยบินไปจากโลกของเซียวเหิงจิ้น นับแต่นั้นจึงเหลือเพียงความมืดมิดเท่านั้นที่เขาสัมผัสได้