อุ้มท้อง ที่ 2-1 กอดศพมารดาร่ำไห้
อุ้มท้อง ที่ 2
กอดศพมารดาร่ำไห้
ข้าไม่เหลือใครอีกแล้ว
‘ท่านแม่ของข้านั้นเป็นหญิงงามที่แสนอ่อนโยน มีใบหน้าที่หวานละมุนเสียยิ่งกว่าน้ำผึ้ง มีดวงตาที่สุกสกาวเสียยิ่งกว่าดวงดาวพร่างพรายบนท้องฟ้า มีอ้อมกอดที่อบอุ่นเสียยิ่งกว่าผ้าห่มคลายหนาว มีน้ำเสียงอ่อนหวานเสียยิ่งกว่าเครื่องดนตรีใดๆ บนโลกใบนี้
สตรีที่มีรอยยิ้มสดใสถึงเพียงนี้ควรจะเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความสุขมิใช่หรือ ทว่าข้ากลับเห็นท่านแม่ร่ำไห้อยู่เสมอ ดวงตายามที่ท่านไม่ได้มองมายังข้านั้น เต็มไปด้วยความหม่นเศร้าอย่างน่าใจหาย...’
ช่างเป่ยในวัยสามขวบนั้นยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจถึงสถานการณ์ที่นางและมารดากำลังเผชิญ ชีวิตของนางขอแค่มีมารดาเป็นที่พึ่งพิงก็เพียงพอแล้ว นางไม่ต้องการสิ่งใดอีก แค่เพียงหันมองไปทางไหนก็เห็นมารดา เพียงเท่านั้นนางก็แย้มยิ้มจนหัวใจพองฟู
จนเมื่อเด็กหญิงตัวน้อยเริ่มโตขึ้น นางจึงได้รู้จักกับ ‘ความทุกข์’ ว่ามันโหดร้ายและพร้อมจะกัดกินหัวใจจนแหว่งวิ่นสักเพียงใด
เริ่มรู้ว่าสถานะของมารดาและตนนั้นเป็นเพียงแค่สาวใช้ในจวนสกุลอวิ๋นอันกว้างใหญ่ และนางถูกคนในจวนเรียกว่า ‘เด็กหญิงขยะ’ พร้อมกับล้อเลียนแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อย่างสนุกสนาน
เดิมที ‘จงลู่เสียน’ ผู้เป็นมารดาเป็นเพียงสาวใช้ในครัวที่มีสามีเป็นคนเลี้ยงม้า ทั้งสองรักใคร่กลมเกลียวกันเป็นอย่างดี สนิทสนมกันมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ฟูมฟักต้นรักจนแบ่งบานจึงตัดสินใจใช้ชีวิตคู่
ทว่าความงามของนางนั้นนำภัยร้ายมาให้ เมื่อผู้เป็นเจ้านายเกิดต้องตาถูกใจฉุดคร่าขืนใจย่ำยีจนแปดเปื้อน จากนั้นไม่นานสามีก็ประสบอุบัติเหตุตกลงไปในบ่อน้ำหลังจวนอย่างปริศนา ความทุกข์ใจถาโถมจนลู่เสียนเลือกที่จะตายตามสามีไป แต่นางกลับพบว่าตนเองตั้งครรภ์
สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในท้องที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นมาทำให้ความคิดชั่ววูบมลายหายไปสิ้น ลู่เสียนใช้ชีวิตเพื่อเด็กน้อยในอ้อมแขน และตั้งชื่อเด็กน้อยแก้มยุ้ยว่า ‘ช่างเป่ย’ ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอิสรภาพ นางมุ่งหวังให้เด็กน้อยผู้เป็นสายเลือดได้ใช้ชีวิตอย่างนกที่สามารถกางปีกโผบินไปบนท้องฟ้าได้โดยไม่มีสิ่งใดกีดขวาง
มีอิสระจากพันธนาการทั้งปวงและมีความสุขอย่างที่สตรีคนหนึ่งจะพึงมี
นับจากวันนั้นจงลู่เสียนก็กลายเป็น ‘เมีย’ ที่ไม่ได้รับการเชิดหน้าชูตาของประมุข ‘อวิ๋นซือกู่’ นางไม่ได้เป็นแม้แต่ ‘อนุภรรยา’ ด้วยซ้ำไป เพราะมีฐานันดรต่ำเพียงสาวใช้ก้นครัว ทว่าความงามของลู่เสียนทำให้ประมุขอวิ๋นเรียกหานางอยู่เนืองๆ
ลู่เสียนกัดฟันฝืนทนเพราะไร้ที่ไป ไร้ที่พึ่งพา นางต้องทนฝืนให้คนที่ฆ่าสามีย่ำยีครั้งแล้วครั้งเล่าเพียงเพื่อจะปกป้องลูกน้อยให้เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
และนั่นก็ทำให้ไฟริษยาของ ‘หลี่ซือโฉว’ ผู้เป็นภรรยาเอกโหมกระพือมอดไหม้จิตสำนึกผิดชอบชั่วดีจนมลายไปสิ้น
‘แม่! แม่เป็นอะไร!’
ช่างเป่ยในวัยแปดขวบกรีดร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ มารดาก็สำลักข้าวก่อนจะกระอักออกมาเป็นเลือดหลังจากเพิ่งรับประทานข้าวกับผัดผักใส่น้ำมันไปได้เพียงไม่กี่คำ ในขณะที่เด็กหญิงตัวน้อยยังไม่ได้กินอาหารเหล่านั้นเพราะยังห่วงเล่นตุ๊กตาไม้ที่ลุงฮาวทำให้
‘เป่ยเอ๋อร์ ปะ...เป่ยเอ๋อร์’
‘แม่! แม่! แม่ต้องไม่เป็นอะไรนะ ใครก็ได้ช่วยแม่ข้าด้วย ช่วยแม่ข้าด้วย!’
เด็กหญิงตัวน้อยกอดมารดาเอาไว้แน่น เนื้อตัวสั่นเทาจนเย็นชืดด้วยความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ ในขณะที่มารดาเริ่มชักเกร็งกระตุกไปทั้งร่าง ดวงตาเหลือกถลนทุรนทุราย เริ่มมีเลือดไหลออกจากทวารทั้งห้าจนทำให้ลมหายใจรวยริน
‘มะ...แม่ระ...รักเป่ยอะ...เอ๋อร์’
“แม่!”
ช่างเป่ยตะโกนเรียกมารดาราวกับจะขาดใจ แต่ไม่ว่าจะเรียกสักกี่ครั้ง ส่งเสียงดังสักแค่ไหน มารดาก็ไม่มีปฏิกิริยาใดโต้ตอบกลับมาอีกเลย จนกระทั่งเหล่าสาวใช้ได้ยินเสียงโวยวายจึงกรูกันเข้ามา
‘อาเสียน! อาเสียนเจ้าเป็นอะไรไปลืมตาขึ้นมาสิอาเสียน แข็งใจเอาไว้ข้าจะรีบพาเจ้าไปหาหมอ!’
ช่างเป่ยยังจำได้อย่างแม่นยำ ป้าเหวยเว่ยซึ่งเป็นสตรีรูปร่างสูงใหญ่แบกร่างไร้ลมหายใจของมารดาไว้บนหลังก่อนจะออกวิ่งจนสุดแรง ในขณะที่ลุงฮาวคนทำสวนซึ่งจับชีพจรของมารดาตั้งแต่แรกยังคงยืนนิ่งด้วยน้ำตานองหน้าราวกับรู้ว่าไม่อาจเรียกชีวิตลู่เสียนกลับคืน
หัวหน้าแม่ครัวเหวยเว่ยร้องขอให้หมอประจำตระกูลช่วยตรวจดูอาการของคนเจ็บเพราะถึงอย่างไร ‘จงลู่เสียน’ ก็ได้ชื่อว่าเป็นเมียของประมุขอวิ๋น ทว่าหมอประจำตระกูลกลับเมินเฉย ฉายชัดว่าได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบนซึ่งคงไม่ใช่ใครที่ไหนคงเป็น ‘ภรรยาเอก’ ที่แสดงออกว่าเกลียดชังลู่เสียนมาโดยตลอดอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งช่วงเวลาที่ประมุขอวิ๋นออกว่าราชการยังต่างแคว้นเช่นนี้ยิ่งเป็นช่วงเวลาเหมาะเจาะที่จะกำจัดมารหัวใจออกไปให้พ้นทาง
ป้าเหวยเว่ยหอบร่างเย็นชืดของมารดากลับมาด้วยหัวใจที่แตกสลายโดยมีช่างเป่ยวิ่งร้องไห้ตามไม่ห่าง
‘เป่ยเอ๋อร์เรามาช่วยกันแต่งกายให้แม่เจ้ากันเถอะ แต่งให้งดงามเพื่อส่งแม่เจ้าเดินทางสู่สรวงสวรรค์’
‘ไม่เอา! ข้าไม่ยอมให้แม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าจะอยู่กับแม่ จะอยู่กับแม่!’
เด็กหญิงตัวน้อยหวีดร้องจนเสียงแหบแห้ง ก่อนจะขัดขวางไม่ให้ใครเข้าใกล้ศพของมารดา จนลุงฮาวต้องอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยไปขังไว้อีกห้องหนึ่งเพื่อให้เหล่าสาวใช้ช่วยกันจัดการศพ ส่วนคนสวนและบ่าวชายช่วยกันขุดหลุมขนาดใหญ่ด้านหลังจวนเพื่อจัดการฝังศพและส่งดวงวิญญาณที่น่าสงสารเดินทางสู่ปรโลก