อุ้มท้อง ที่ 1 นอนด้วยกันเถอะนะเจ้าคะ
อุ้มท้อง ที่ 1
นอนด้วยกันเถอะนะเจ้าคะ
วิวาห์เพื่อชีวิต
สัมผัสหนักๆ ที่กดทับลงมาบนริมฝีปากทำให้คนตัวเล็กถึงกับหัวใจกระตุกแรง ใบหน้าเห่อร้อน รู้สึกวูบวาบหวั่นไหวไปทั้งสรรพางค์กาย ปลายเท้าที่เขย่งยื้อสั่นน้อยๆ ไปตามแรงเต้นของจังหวะหัวใจ
จะ...จูบเป็นเช่นนี้หรือ
คนตัวเล็กที่ยังคงหลับตาพริ้ม พลางจู๋ปากเบียดเข้าหาสัมผัสของอีกฝ่าย ก่อนจะกางสองแขนโอบรัดรอบเอวสอบของเขาเอาไว้แนบแน่น
หัวใจดวงน้อยกำลังลิงโลดด้วยความยินดีที่นางประสบความสำเร็จในขั้นแรก ขอเพียงแค่นางได้มีโอกาสร่วมหลับนอนกับวีรบุรุษสงครามหม่าหยางเหวินจนตั้งครรภ์ มวลมนุษยชาติก็จะไม่ต้องพบกับภัยพิบัติอันแสนเลวร้าย
เขาจะยังคงเป็นแม่ทัพหม่าวีรบุรุษสงคราม หาใช่ ‘ปีศาจจอมโฉด’ ที่เข่นฆ่าผู้คนนับพันนับหมื่น ด้วยถูกคำสาปกลืนกินจนไม่เหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไป
ขอเพียงแค่ผู้คนไม่ล้มตาย ลูกเล็กเด็กแดงไม่ต้องพรากจากอกบิดามารดา และที่สำคัญที่สุดก็คือบุคคลที่นางรักจะปลอดภัย
‘ป้าเหวยเว่ย’ แม่ครัวที่แสนใจดีคอยแอบนำอาหารเหลือจากในครัวมาให้นางกินประทังชีวิตยามหิวโหย ‘พี่ย่าจุน’ ที่คอยเย็บชุนเสื้อผ้าขาดๆ ของนางให้กลับมาใส่ได้ดังเดิม อีกทั้งยังแบ่งผ้าห่มให้นางคลุมกายคลายหนาว ‘ลุงฮาว’ ที่มักมาช่วยนางแบกถังน้ำอยู่เนืองๆ และพี่ๆ คนรับใช้ทุกคนในสกุลอวิ๋น ขอเพียงพวกเขายังมีชีวิตอยู่ และมีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าหาใช่เสียงร้องไห้โหยหวนด้วยความสิ้นหวัง
ขอเพียงเท่านั้น นางพร้อมยอมทำทุกอย่าง ไม่ว่ามันจะน่าอายสักเพียงใด นางก็จะทำ!
แน่นอนว่าบุคคลที่นางรักไม่มีบิดา ‘อวิ๋นซือกู่’ ไม่มีญาติพี่น้องร่วมวงศ์วานคนใด เพราะทุกคนมองนางเป็นเพียงแค่ ‘ขยะไร้ค่า’ และพร้อมจะผลักไสนางออกจากจวนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เมื่อนางต้องมาแต่งงานกับ ‘แม่ทัพหม่าผู้ต้องคำสาป’ เสียงหัวเราะสะใจของผู้คนเหล่านั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัว
‘ขยะย่อมคู่ควรกับแม่ทัพปีศาจอัปลักษณ์’
‘ตระกูลหม่าคงจะสูญสิ้นในไม่ช้า ที่ต้องรับขอทานอย่างเจ้าไปเป็นเจ้าสาว’
‘ออกจากจวนข้าไปเสียที ข้าเหม็นขี้หน้าเจ้าเต็มทนแล้ว’
แต่นางไม่สนใจหรอก ไม่ว่าคนพวกนั้นจะพ่นคำดูถูกเลวร้ายสักเพียงใด เพราะนางไม่เคยมองว่าคนพวกนั้นสำคัญต่อชีวิตของนาง ความรักที่นางเคยให้คนเหล่านั้นได้สูญสิ้นไปหมดแล้วนับจากวันที่มารดาของนางถูกฆ่าตายอย่างโหดร้ายทารุณ
“แม่นาง...”
ความคิดที่เตลิดถูกกระชากกลับมา คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันมุ่นด้วยความแปลกใจ ท่านแม่ทัพจูบข้าอยู่แต่เหตุใดจึงส่งเสียงพูดได้เล่า เร็วกว่าความคิดเมื่อนางลืมตาขึ้นจึงพบว่าสิ่งที่สัมผัสริมฝีปากของนางคือปลายนิ้วหาใช่ริมฝีปาก
“อ่า...”
“คะ...เค็ม”
จังหวะที่นางอ้าปากจะโวยวายนิ้วที่ดันริมฝีปากไว้ก็ผลุบหายเข้าไปในปาก ช่างเป่ยทำหน้าเหยเกรับรสเค็มที่ปลายนิ้วจนเผลอแลบลิ้นออกมา
และท่าทางเช่นนั้นทำให้แม่ทัพหม่าถึงยกมือขึ้นตบหน้าผาก รู้สึกว่าการรับมือกับสิ่งมีชีวิตเพี้ยนๆ ตรงหน้ามันช่างยากลำบากเสียยิ่งกว่าการจับดาบออกรบฆ่าฟันข้าศึกศัตรูเสียอีก
“ข้ายังย้ำคำเดิมแม่นางพักผ่อนเถอะ”
เขาหันหลังกลับแล้วเอื้อมมือไปจับบานประตู ทว่าอวิ๋นช่างเป่ยกลับวิ่งไปขวางประตูเอาไว้ด้วยท่าทางมุ่งมั่นราวกับแม่เสือสาวที่กำลังจะตะครุบกระต่ายน้อยสีดำที่แสนบอบบาง
“คืนนี้เป็นคืนเข้าหอของเราทั้งสองคน หากท่านแม่ทัพออกจากห้องหอไปย่อมไม่ดีแน่ ใครๆ ก็คงจะติฉินนินทาว่าเข้าเป็นเจ้าสาวที่บกพร่องไม่อาจมัดใจเจ้าบ่าวเอาไว้ได้ ดังนั้นได้โปรดนอนกับข้าในห้องนี้เถอะนะเจ้าคะ ถือว่านี่เป็นคำขอร้องจากเจ้าสาวของท่าน”
ไม่พูดเปล่าแต่ทรุดกายลงคุกเข่าขวางหน้าประตูเอาไว้อย่างดื้อดึง
อวิ๋นช่างเป่ยพอจะจับสังเกตได้ว่า ภายใต้ใบหน้าเคร่งขรึมนั้น แม่ทัพหม่าไม่ใช่คนใจร้ายเย็นชาอย่างที่แสดงออก กลับกันเขาเป็นคนขี้อายและไม่กล้าปฏิเสธ หากนางออดอ้อนทำตัวน่าสงสารก็อาจจะทำให้เขาไม่กล้าที่จะหักหาญน้ำใจ
“แต่ว่าที่ผ่านมาข้าแยกห้องนอนกับเจ้าสาวทุกคน”
ได้ผลแม่ทัพหม่ากระอักกระอ่วนใจ ยิ่งเห็นหยาดน้ำใสไหลคลอดวงตาคู่สวย หัวใจแข็งแกร่งก็ไหววูบด้วยไม่มีภูมิต้านทานเกี่ยวกับสตรีมาก่อน กินนอนอยู่แต่ในทัพที่รายล้อมไปด้วยผู้ชาย อีกทั้งยังไม่เคยมีหญิงคนรักแม้แต่คนเดียว