บทที่3. เหตุการณ์ที่ทำให้รัชนิชลมองตากล้องรูปหล่อเปลี่ยนไปจากเดิม..
เสียงหวานแผ่วพร่าก่นว่าตัวเองที่รีบชิ่งหนีจากมาด้วยความตกใจ ปล่อยให้ชายหนุ่มได้กำไรจากการแตะต้องเนื้อตัวเธอฟรีๆ โดยไม่ได้เอาคืนเลยสักนิด
“ช่างเถอะน่ามันเป็นอุบัติเหตุ ลืมๆ ...ลืมเดี๋ยวนี้!!?”
รัชนิชลยกมือขึ้นตบซีกแก้มของตัวเองเบาๆ ปลุกสติที่เตลิดไปไกลให้กลับคืนมา เพราะอารามตกใจที่ตกอยู่ในอ้อมกอดหนุ่มเจ้าเสน่ห์แบบแคสเตอร์ ชางบุคคลอันตรายที่เธอควรอยู่ให้ห่าง หากไม่อยากเสียใจเมื่อเธออาจจะตกบ่วงเสน่ห์ของเขาแบบไม่รู้ตัว เป็นเพราะฟรีโรโมนของชายหนุ่มฟุ้งกระจาย ดั่งละอองเกสรของดอกไม้ มันลอยวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเขา เธอและสาวๆ ที่หัวใจไม่เข้มแข็งพออาจจะตกหลุมรักเขาได้ง่ายๆ
เธอเดินไปเอนกายลงนอนบนเตียงกว้าง สายตาหวานฉ่ำเหม่อมองเพดานห้องด้วยความเลื่อนลอย คงเพราะยังตกอยู่ในห้วงอารมณ์วาบหวาม ก่อนที่จะผุดลุกขึ้นนั่งอย่างตกใจ เมื่อนึกถึงการทำงานในวันรุ่งขึ้นที่ยังจัดเตรียมไว้ไม่เรียบร้อย!!?
“ตายแล้ว! ตายแน่ๆ ลืมตรวจเอกสารพรุ่งนี้เลย ต้องปีนขึ้นยอดดอยแล้วด้วยซิ”
เธอก้าวพรวดพราด รีบคว้ากระเป๋าเดินทางออกมาเปิด ลงมือค้นหาของที่เธอต้องการ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ เมื่อพบเจอเอกสารเหล่านั้น เธอกางเอกสารออกวางตรงหน้าตัวเอง ตั้งหน้าตั้งตาตรวจทานอ่านวัตถุประสงค์ที่ทีมงานต้องการอย่างถี่ถ้วนละเอียดลออ จนลืมช่วงเวลาวาบหวามกับหนุ่มหล่อไปเสียสิ้น จมอยู่กับตัวหนังสือกับการทำความเข้าใจในเนื้อหาความต้องการของทีมงานประเทศฮ่องกง
รายละเอียดต่างๆ รัชนิชลซึมซับไว้ในหัวสมอง เมื่อยามที่ต้องติดต่อกับผู้นำท้องถิ่นจะได้อธิบายให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในท้องถิ่นเข้าใจได้ไม่ยาก หญิงสาวแอบพอใจนิดๆ เมื่อยังมีคนใส่ใจเรื่องแบบนี้ในประเทศไทย ที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มัวแต่แก่งแย่งแข่งขันกันจนลืมใส่ใจการศึกษาของเด็กยากไร้ และโรงเรียนบนพื้นที่ห่างไกลที่ขาดแคลน แม้แต่ความช่วยเหลือก็เข้าไปไม่ถึง สุดเขตแดนประเทศไทยเต็มไปด้วยชนกลุ่มน้อยที่อาศัยปักหลักทำมาหากิน สร้างถิ่นฐานกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แต่ไร้ระบบระเบียบทางการเรียน เมื่อความช่วยเหลือทุกฝ่ายยังเข้าไปไม่ถึงเพราะเป็นพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดาร
รัชนิชลบิดตัวด้วยความเหมื่อยขบ บนที่นอนหนานุ่ม หลังจากศึกษาเนื้อความของเอกสารกับความต้องการของกลุ่มที่มาจัดการถ่ายทำ เธอมองนาฬิกาข้างพนังห้อง ก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่ง เมื่อมัวแต่อ่านเอกสารเพลินจนลืมทานอาหารมื้อเย็น และเวลาล่วงเลยไปไกล นาฬิกาบอกเวลา22:40นาที มันเกือบจะค่อนคืนแต่ร้านอาหารด้านล่างคงยังไม่ทันปิด รัชนิชลจึงรีบคว้ากระเป๋าสตางค์เตรียมตัวลงไปหาอะไรทาน เมื่อท้องไส้เริ่มครางประท้วงเพราะความหิวโหย เธอเดินลงมายังด้านหน้าบริเวณโรงแรมที่มีร้านแผงลอยมากมายไว้คอยให้บริการยามค่ำคืน อาหารหลากหลายอย่างส่งกลิ่นหอมยั่วยวน เมื่อเธอเดินผ่าน ดวงตากลมโตจ้องมองอาหารปรุงสุกใหม่ๆ ด้วยดวงตาวาววาม ยกฝ่ามือเรียวบางลูบเบาๆ เหนือหน้าท้องแบนราบ ที่ครางครวญประท้วงเพราะความหิวโหย
“ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ได้กินแล้วจ้ะ”
อาหารหลายอย่างอยู่ในถุงใบใหญ่ๆ สองมือหอบหิ้วพะรุงพะรัง ใจนึกอยากจะนั่งทานที่ร้าน แต่ก็กลัวว่าเวลาจะดึกเกินไป เพราะทางเดินที่กลับไปยังตัวโรงแรมมีแค่แสงไฟสลัวๆ มันอาจจะไม่ปลอดภัยกับตัวเอง ถ้าปล่อยเวลาให้เนิ่นนานกว่านี้จนไร้เพื่อนร่วมทางตรงทางเดิน เธอหิ้วถุงบรรจุอาหารร้อนๆ รีบมุ่งหน้าเดินกลับตัวโรงแรม เมื่อเหลือบมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือ เป็นเพราะมัวแต่เถลไถลเดินชมร้านรวงสองข้างทางเสียจนเพลิน จึงเสียเวลาไปมากโขเมื่อนาฬิกาเรือนเล็กชี้บอกเวลา23:30นาที เธอจึงรีบก้มหน้าก้มตาเดินสาวเท้าซอยถี่ๆ เมื่อสองข้างทางเต็มไปด้วยแก๊งวัยรุ่นที่มารวมตัวกัน ชายหนุ่มผอมแห้งนั่งอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซค์ เสียงหัวเราะร่าเริงที่ดังประสานกัน ทำให้รัชนิชลเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นด้วยความหวาดกลัว
“น้องสาวจ๋า เดินคนเดียวเหงาเปล่า ให้พี่ไปส่งไหมจ้ะ?”
หนุ่มผอมโซ ร่างสูงโย่งเดินมาต้อนหน้าต้อนหลังเธอพร้อมทั้งเอ่ยทักทายเสียงยานคาง
รัชนิชลเหลือบมองหวั่นๆ ก่อนจะถอยหลังหนี เธอกวาดสายตามองลู่ทางที่จะหลบหลีกพร้อมกับสาวเท้าถอยหลังหนีไปด้วย กลิ่นเหม็นเปรี้ยวโชยออกมาจากร่างกายผู้ชายด้านหน้า แสดงให้เห็นว่าสติเขาไม่ครบสมบูรณ์เพราะความมึนเมาบวกกับความคึกคะนอง