บทที่2. การพบกันครั้งแรกที่ไม่น่าประทับใจ
รัชนิชลใช้ชีวิตมาด้วยตัวเองตั้งแต่ถูกตัดออกจากวงศาคณาญาติ เธอฝ่าฟันความลำบากโดยได้สองตายายคอยช่วยดูแล วัยรุ่นแรกแย้มของรัชนิชลคือการดิ้นรนเพื่อลบคำสบประมาทของญาติกลุ่มใหญ่ที่เหลืออยู่ การที่สาวน้อยขัดความประสงค์ของทุกคนโดยการเก็บพื้นดินแห่งสุดท้ายของพ่อและแม่ไว้ ทำให้ญาติผู้ใหญ่ทั้งหมดไม่พอใจ งดให้ความช่วยเหลือ ทั้งที่เงินมากมายจากการขายสมบัติของพ่อกับแม่น่าจะเพียงพอให้รัชนิชลดำเนินชีวิตได้อย่างไม่ลำบาก ไม่จำเป็นต้องขายที่ดินที่พ่อกับแม่รัก ความเยาว์วัยรัชนิชลจึงไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้แน่ชัดว่าเงินจำนวนมากเหล่านั้นหายไปตรงส่วนไหนบ้าง จึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนมองดูฝูงญาติทยอยขายสมบัติของตัวเองไปทีละชิ้นๆ จนกระทั่งเหลือแค่ที่ดินที่จังหวัดอยุธยาที่ดินที่พ่อกับแม่คิดว่าจะไปอาศัยอยู่ในบั้นปลายของชีวิตอยู่กับธรรมชาติบริสุทธิ์สะอาด
รัชนิชลยืนกรานหัวชนฝาจนกลุ่มญาติต้องล่าถอยและตัดความช่วยเหลือแทบทันที เธอย้ายออกจากบ้านที่เกิดและเติบโตมาเพราะมันถูกขายโดยที่เธอไม่รู้ตัว และก็ไม่เคยเห็นเงินที่ขายบ้านได้แม้แต่สตางค์แดงเดียว สาวน้อยวัยเยาว์เดินทางกลับไปยังจังหวัดอยุธยาเหมือนนกปีกหักไร้ที่อยู่อาศัย แต่กลับได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากสองตายายที่ดูแลสวนของพ่อกับแม่ไว้ เงินเก็บสะสมมาตลอดชีวิตของตาผันกับยายสายสองตายายนำเงินก้อนนั้นมามอบให้เพื่อให้รัชนิชลศึกษาเล่าเรียนต่อ ดวงตาเอื้ออารีกับแววตาห่วงใยจากคนที่เป็นแค่ลูกจ้างของพ่อกับแม่ ผิดกับกลุมญาติฝูงใหญ่ที่ล้วนแต่เป็นคนร่ำรวยมีฐานะ แต่กับจ้องจะกอบโกยโดยไม่สนใจรัชนิชลสักนิดเดียว
เธอกัดฟันเรียนต่อเพื่อลบคำสบประมาทของวงศาคณาญาติที่เหลืออยู่ ในวันที่ประสบความสำเร็จสาวน้อยมีเพียงสองตายายที่ร่วมแสดงความยินดีเท่านั้น โดยที่กลุ่มญาติได้แต่เข่นเขี้ยวเขี้ยวฟันมองอยู่ไกลๆ รัชนิชลเก็บตัวไม่ค่อยสุงสิงกับคนอื่น เธอไม่พร้อมจะเจอกับความจริงใจจอมปลอมของคนรอบตัว เพราะฉะนั้นรัชนิชลจึงมีเพื่อนสนิทไม่กี่คนที่คบกันเรื่อยมา สาวน้อยวัยใสเติบโตมาอย่างแกร่งกล้าดิ้นรนมาแต่เยาว์วัย สีสวยสดใสในโลกกว้างเปลี่ยนเป็นสีหม่นเทาในวันที่พ่อแม่จบชีวิตลง ยังดีที่ยังมีสองตายายไม่เช่นนั้นรัชนิชลคงมองโลกนี้เป็นดังเช่นสีดำสนิทเพราะถูกกระทำจากคนรอบๆ ตัว
แคสเตอร์ ชางเดินทางมาทำสารคดีเกี่ยวกับการศึกษาในประเทศไทย เป็นโปรเจคสุดท้ายก่อนจะวางมือในฐานะนักข่าวและตากล้อง เพื่อกลับไปสานต่อกิจการส่วนตัวที่พ่อกับแม่สร้างไว้ให้ หนุ่มหล่อวัย30ปีเป็นที่ต้องตาสะดุดใจสาวๆ หลายนาง วงหน้าคมเข้มจมูกโด่งเป็นสันผิดกับสัญชาติโซนเอเชียที่ต้องมีหน้าตาจืดชืด ดวงตายาวรีเป็นสิ่งเดียวที่แสดงให้รู้ว่า แคสเตอร์ ชางมีเชื้อสายจีนปนอยู่ในกระแสเลือด จมูกโด่งริมฝีปากหนาหยักเรือนกายสูงใหญ่เพราะเติบโตขึ้นในอเมริกา ก่อนจะย้ายถิ่นฐานกลับบ้านเกิดเมื่อพ่อกับแม่เบื่อเมืองใหญ่ที่วุ่นวายไร้ความสงบ
เมืองไทยเปลี่ยนไปมากเมื่อแคสเตอร์ย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้ง สมัยเป็นวัยรุ่นชายหนุ่มเคยมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยหลายๆ ครั้งเพราะชอบความมีอัธยาศัยดีของผู้คน ดวงตายาวรีกวาดมองรอบๆ ตัวเพื่อมองหาคนที่มารอรับ สาวน้อยวัยรุ่นหลายคนแอบมองแคสเตอร์และจับกลุ่มกันซุบซิบเสียงเซ็งแซ่ มีสาวใจกล้าบางคนเดินออกมาจากกลุ่ม เธอส่งรอยยิ้มหวานมาให้ชายหนุ่มแต่ไกล และแคสเตอร์ยิ้มรับด้วยดี เขาแอบขำขันอยู่ในใจ มารยาแบบนี้เขาเจอมาจนชินจึงไม่ค่อยแปลกใจเมื่อมีสาวๆ ให้ความสนใจ เพราะรู้ตัวดีถึงเสน่ห์มากล้นของตัวเอง
“สวัสดีค่ะพี่ มารอใครอยู่เหรอให้พวกหนูไปส่งไหมคะ...”
ภาษาไทยที่ออกจากปากของสาวน้อยนางนั้น แคสเตอร์ฟังออกทุกคำ แต่ไม่อยากสนใจสาวน้อยแก่แดด จึงส่งยิ้มตอบและส่งเสียงทักทายเป็นภาษาอังกฤษเพื่อตัดความรำคาญ
“I can” t speech thai you can say English”