บทที่ 3 ความหวัง ความฝัน และอ้อมกอดอบอุ่นจากผู้ชายตัวโต 1
บทที่ 3
ความหวัง ความฝัน และอ้อมกอดอบอุ่นจากผู้ชายตัวโต
แต่สุดท้ายแล้ว จนกระทั่งสิ้นแสงสุริยัน ชบาก็ไม่มีแหวนมาให้หล่อนตามที่ได้รับปากไว้ โดยสาวใช้ให้เหตุผลว่า
“ตอนกลางวันแอบไปค้นในห้องส่วนตัวของเสี่ยเท่งแล้ว แต่ไม่พบแหวนที่ให้หาเลยค่ะ ตอนเย็นเลยไปค้นที่อื่นดูก็ไม่เจอ แต่ยังไงพรุ่งนี้ชบาจะลองหาดูอีกทีนะคะ”
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดอายุครบ 20 ปี หากไม่มีแหวนนั่นให้ตติยะ มีหวังหล่อนคงหนีจากอุเทนไม่พ้นเป็นแน่
ความเครียดที่สะสมมาเนิ่นนาน ตอนนี้กลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จวบจนฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ ความหนาวเย็นโรยตัวลงกระทบผิวกายจนต้องลูบต้นแขนเพื่อให้ขนที่ลุกชันสงบลง หญิงสาวยืนอยู่ริมหน้าต่าง แหงนหน้ามองจันทร์กระจ่างที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า
สีเหลืองนวลตาตัดกับสีดำของผืนนภา มนต์เสน่ห์ของพระจันทร์ทำให้อดหวนนึกถึงเรื่องที่ได้พบชายแปลกหน้าวิ่งกระโดดเข้ามาทางหน้าต่างในห้องของหล่อนไม่ได้
เมื่อคืนทั้งตื่นเต้นและหวามไหว ทว่าคืนนี้ทุกสิ่งกลับเงียบลงจนน่าใจหาย
ตั้งแต่เกิดมาจนเติบโตเป็นสาว เป็นครั้งแรกที่หล่อนถูกโอบกอดจากผู้ชายวัยหนุ่มที่มีพลังความเป็นบุรุษเต็มเปี่ยม
ทั้งแววตาสีน้ำตาลเชื่อม ริมฝีปากได้รูป มือหนาที่แสนอบอุ่น และจูบที่ราวจะฉุดวิญญาณหล่อนให้หลุดลอยจากร่าง
นันวรายกนิ้วขึ้นสัมผัสกลีบปากบางอย่างเผลอไผล ความนึกคิดที่ล่องลอยไปกับอดีตได้ย้อนคืนสู่ปัจจุบันเมื่อสายตาจับภาพบางอย่างได้
ในความมืดที่โรยตัวปกคลุมรอบบริเวณ มีเพียงแสงจันทร์ฉายส่องรำไรให้พอมองเห็นทุกอย่างได้อย่างรางเลือน หล่อนได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำบนใบไม้ดังกรอบแกรบ พร้อมเงาใครคนหนึ่งที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูง
หญิงสาวเบิกตาโพลง เตรียมหวีดร้อง แต่ยั้งเสียงไว้ได้ทันเมื่อเขากระโดดเข้ามาทางช่องหน้าต่างอย่างชำนาญ ชั่วแว่บหนึ่งที่ได้สบนัยน์ตาคมกริบคู่นั้น หล่อนก็ถึงกับชาวาบไปทั้งร่าง
ตติยะ ! เป็นเขาแน่ๆ เขาคงมาเพื่อทวงถามว่าหล่อนหาแหวนให้เขาได้แล้วหรือยัง
“จุ๊ๆ เงียบไว้นัน ผมไม่อยากวิ่งหนีตาแก่นั่นเหมือนเมื่อคืนก่อน” เขากระซิบ พลางปลดผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นวงหน้าคมเข้มที่ดูโดดเด่นเมื่ออยู่ในชุดสีดำสนิท
ดุจซาตานที่มาพร้อมความมืดของรัตติกาล แต่พอเห็นใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาที่ราวจะสะกดผู้หญิงทุกคนคู่นั้น หล่อนก็ชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วว่าเขาเป็นปิศาจหรือเป็นเทพบุตรเจ้าเสน่ห์กันแน่
“มองผมแล้วทำหน้าแดงแบบนี้ คิดลึกอะไรกับผมอยู่หรือเปล่าเนี่ย” คำถามเย้าแหย่ออกมาจากริมฝีปากหนาสีกุหลาบ เล่นเอาหล่อนถึงกับกระพริบตาถี่ๆเพื่อขับไล่ความคิดประหลาดให้ออกจากสมอง
“บ้าสิคะ ใครจะไปคิดลึกกับคุณกัน ฉันเป็นผู้หญิงนะ”
“ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย เป็นผู้หญิงก็มีสิทธิ์คิดนะ หรือถ้าไม่อยากลวนลามผมทางความคิด จะแต๊ะอั๋งผมในความเป็นจริงเลยก็ได้ ผมพร้อมจะยินยอมคุณเสมอ” ยิ่งเห็นหล่อนหน้าแดง เขาก็ยิ่งสนุกที่ได้แกล้งเย้าแหย่ จนหญิงสาวค้อนขวับ
“ถ้าไม่หยุดพูดแบบนี้ ฉันจะข่วนหน้าคุณให้แหก”
“โอ้โฮ…ดุจริงแฮะ”
ชายหนุ่มยิ้มใส่ตาหล่อน ก่อนจะเดินไปนั่งบนเตียงอย่างถือวิสาสะ ซ้ำยังตบปุๆข้างกายเป็นเชิงชวนให้หล่อนมานั่งใกล้ๆ
“มานั่งสิ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณพอดี”
“ฉันก็มีเรื่องจะคุยกับคุณค่ะ” นันวราถอนหายใจอย่างหนักอก หล่อนคงต้องบอกเขาว่ายังหาแหวนไม่ได้
“ทำหน้าซีเรียสเชียว ผมไม่อยากให้คุณเครียดเวลาคุยกับผมนะนัน”
“จะไม่ให้เครียดได้ยังไงล่ะคะ” หล่อนหน้ายู่ ก่อนพูดอีกว่า “ฉันยังหาแหวนของคุณไม่พบเลย” ร่างเล็กทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเขาแต่ห่างไกลกันเกือบเมตรเห็นจะได้
“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ แหวนมันวงเล็กคงหาได้ยาก แถมเรายังไม่รู้ด้วยว่าตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นแอบเอาไปซ่อนไว้ที่ไหน”
“เสี่ยเท่งคงไม่เอาของที่ขโมยได้มาเก็บไว้ในที่เปิดเผยหรอกค่ะ”
“ยังไงคุณก็ต้องระวังตัวไว้บ้างนะนัน ถ้าหมอนั่นรู้ว่าคุณติดต่อกับผมอยู่ มีหวังคุณเดือดร้อนแน่”
คำพูดที่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง ทำให้หญิงสาวต้องเหลือบตาขึ้นมองเจ้าของวงหน้าคมคาย พบว่าดวงตาคู่นั้นกำลังมองหล่อนอยู่ก่อนแล้ว
“คุณก็เหมือนกัน ถ้าเสี่ยเท่งจับได้ว่าคุณลอบเข้ามาที่นี่ คุณคงไม่ได้มานั่งยิ้มอยู่แบบนี้หรอกค่ะ มีหวังถูกเป่าด้วยลูกกระสุนแน่”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงอย่างฉงน พลางถามว่า “ตาเฒ่าเล่นปืนด้วยเหรอ”
“มีหลายรุ่นเลยค่ะ ทั้งดาบทั้งปืน ของอันตรายทั้งนั้น ฉันว่าคุณอย่าประมาทเขาจะดีกว่า”
“แบบนี้เท่ากับมีอาวุธสงครามไว้ในครอบครองสิ”
“กลัวใช่มั้ยล่ะคะคุณต้น”
แทนที่จะได้เห็นความวิตกจากเขา หล่อนกลับเห็นเขาส่ายหน้าอย่างไม่ยี่หระ
“เปล่าเลยนัน ผมผ่านอันตรายจากอาวุธสงครามมาเยอะ เมื่อรอดชีวิตมาได้ ผมก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรน่ากลัวไปกว่านั้นอีก”
“คุณเคยไปผจญภัยมาเหรอคะ”
ตติยะหัวเราะ “ผมเป็นทหารมาก่อน แต่ปัจจุบันเป็นนักธุรกิจแล้วครับ”
“โห คุณเคยเป็นทหารเหรอคะ รู้มั้ยว่าฉันมองทหารเป็นวีรบุรุษ” หล่อนทำตาโต ก่อนทำเสียงเล็กเสียงน้อย “เอ…จะขอลายเซ็นดีมั้ยน๊า”
“อย่าเลย ผมจะเก็บลายเซ็นไว้ใช้ตอนจดทะเบียนสมรสกับคุณ”
หญิงสาวหน้าแดงก่ำ เม้มปากอิ่มแน่น แม้จะรู้เต็มอกว่าเขาจำต้องแต่งงานกับหล่อนเพื่อรักษาสัญญา แต่ทว่า…ส่วนลึกของหัวใจกลับรู้สึกดี ราวกับมีผีเสื้อสยายปีกอยู่ในร่างกาย
“อย่าเพิ่งมั่นใจนักเลยค่ะคุณต้น บางทีฉันอาจจะหาแหวนให้คุณไม่ได้”
“ถ้าคุณหาแหวนให้ผมไม่ได้ คุณจะทำยังไงนัน” เขาขยับตัวนั่งชิดหล่อนยิ่งขึ้น จนหญิงสาวต้องกระเถิบกายหนี ก่อนจะใจหายวาบเมื่อตอนนี้นั่งอยู่ริมสุดของเตียง ไม่อาจขยับไปมากกว่านี้ได้
หล่อนสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วตอบว่า “ถ้าหาแหวนให้คุณไม่ได้ ฉันคงต้องแต่งงานกับเสี่ยเท่งค่ะ”
“ทั้งๆที่รู้ตัวว่าจะไม่มีความสุขอีกเลยตลอดชีวิตน่ะหรือ ?”
“ฉันตามหาคำว่าความสุขมาทั้งชีวิตแล้วค่ะ แต่ไม่เคยพบเลยสักครั้ง”
“แล้วคุณจะมั่นใจได้ไงว่าหากแต่งงานกับผมเพื่อหนีเสี่ยเท่งได้แล้ว คุณจะมีความสุข ผมอาจกักขังคุณ ไม่ยอมปล่อยให้คุณมีอิสระอย่างที่คุณนึกหวังก็ได้นะ” ท้ายประโยคขึ้นเสียงสูงคล้ายหยั่งเชิง ก่อนจะใจกระตุกวูบเมื่อหน้าหวานแหงนเงยขึ้นมองเขา แล้วตอบเศร้าๆ
“ฉันก็จะถือเสียว่าตัวเองได้พยายามเต็มที่แล้วค่ะ แต่ฉันเชื่อใจคุณนะคะคุณต้น คิดว่าคุณคงไม่โกหกแน่ๆ”
ทำไมนันวราถึงไว้ใจเขานัก หรืออาจเป็นเพราะหล่อนขาดที่พึ่ง เมื่อเขาผ่านเข้ามาในชีวิต หล่อนจึงพร้อมที่จะเชื่อมั่นแม้รู้ว่าเป็นการเสี่ยงก็ตาม
“คุณฉลาดพูดนะนัน” เขาชม ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเสียงแก่ๆดังขึ้นทางประตู
“ใช่ ยัยนันฉลาด แต่ฉลาดได้ไม่นาน สุดท้ายเรื่องที่ปิดบังไว้ก็รู้ถึงหูฉันจนได้”
เมื่อสองหนุ่มสาวหันไปมองทางต้นเสียงก็พบชายร่างอ้วนใหญ่เหมือนหมียืนขวางประตูอยู่ คราวนี้อุเทนฉลาดมากพอที่จะไม่ทำเสียงดังให้คนในห้องรู้ว่าตนมาเยือน เพราะเขาแอบไขกุญแจอย่างเงียบเชียบเพื่อจับผิดนันวราให้ได้คาหนังคาเขา