บทที่ 2 ความหวังครั้งใหม่ของนันวรา 1
บทที่ 2
ความหวังครั้งใหม่ของนันวรา
รุ่งเช้าวันต่อมา
เสียงเคาะประตูดังเป็นจังหวะสามครั้งก่อนที่เสียงของชบาจะดังแทรกเข้ามา
“คุณน้องนันคะ ยังไม่ตื่นอีกเหรอ สายแล้วนะคะ”
“ขอนอนต่ออีกนิดนะ” หญิงสาวตอบอู้อี้ ใบหน้าแนบกับหมอน ไม่ยอมลืมตาแม้ว่าจะตื่นนานแล้วก็ตาม
“ชบาจัดสำรับไว้แล้วนะคะ หิวก็รีบมากินนะ เดี๋ยวกับข้าวจะเย็นชืดหมด”
“อือ รู้แล้ว” นันวราตอบกลับอย่างนึกรำคาญ สักพักเสียงชบาก็เงียบหายไป คาดว่าคงง่วนอยู่กับการทำงานบ้านเหมือนเช่นทุกวัน
เมื่อในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง หญิงสาวก็ถอนหายใจอย่างหนักอก…เมื่อคืนมีผู้ชายบุกเข้ามาในห้องนอนของหล่อน และทั้งๆที่เขาฉวยโอกาสจูบหล่อน หล่อนก็ยังจะไว้ใจเขาอีก
บ้าชะมัด นี่หล่อนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงได้ยอมตกลงที่จะหาแหวนให้เขาเพื่อแลกกับการให้เขาช่วยพาหนี
แถมวิธีที่เขาจะใช้ช่วยหล่อนก็เป็นทางเลือกที่ทำให้หล่อนไม่มั่นใจ
เพราะเขาเสนอตัวจะเป็นสามีตามกฎหมายเพื่อจะได้มีสิทธิ์ปกป้องหล่อนจากอุเทน และหล่อนก็ตอบตกลงเขาไปแล้ว
นันวราพลิกตัวนอนหงาย ก่อนจะถีบผ้าห่มจนหล่นจากเตียง ดวงตากลมโตเหม่อมองเพดานห้อง…มองอยู่นานทั้งๆที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ ก่อนที่ความคิดจะเริ่มล่องลอยไปถึงตติยะอีกครั้ง
เขาเป็นผู้ชายรูปหล่อ หุ่นสูงใหญ่กว่าเมื่อ 6 ปีก่อนมากนัก อีกทั้งใบหน้าก็คมคายมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น
เขาเพียบพร้อมทุกอย่าง ขณะที่หล่อนเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
การที่ตกลงจะแต่งงานกับเขาเพื่อให้รอดพ้นจากเงื้อมมืออุเทน มันจะคุ้มแน่หรือ…ในเมื่อสุดท้ายหล่อนก็ต้องเสียตัวอยู่ดี
เพียงแต่เปลี่ยนเจ้าบ่าวจากอุเทนเป็นตติยะเท่านั้น
แต่ถ้าหล่อนยอมแต่งงานกับอุเทน ชีวิตหล่อนคงเหมือนถูกกักขังและต้องได้รับความทุกข์ใจไปตลอดชีวิต
ต่างจากการแต่งงานกับตติยะ อย่างน้อยเขาคงไม่ผูกมัดหล่อน เมื่อหล่อนมั่นใจว่าตัวเองปลอดภัยดีแล้วก็ค่อยหย่ากับเขาก็ได้ไม่ใช่หรือ
ระหว่างที่นอนคิดอยู่นั้น จู่ๆประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมร่างอ้วนที่โผล่เข้ามาอย่างถือวิสาสะ เล่นเอาหญิงสาวถึงกับผุดลุกนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมตวาดแหว
“เสี่ยเข้ามาทำไมคะ”
“ทำไมล่ะ…ในเมื่อบ้านหลังนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเฮีย เฮียจะเข้านอกออกในเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ใช่หรือ” คำถามยียวนนั้นทำให้หล่อนถึงกับเม้มปากแน่น
ยิ่งหล่อนอายุใกล้ครบ20 อุเทนก็ยิ่งไม่มีความเกรงใจมากขึ้นเท่านั้น และมักจะทำตัวเป็นเจ้าของหล่อนโดยไม่คิดจะเจียมสังขารตัวเองเลยแม้แต่น้อย
ก็ดูสิ…ผมร่วงจนหัวล้านเป็นมันวับ ฟันซี่ขาวๆที่เห็นเรียงเป็นระเบียบในช่องปากก็ล้วนเป็นฟันปลอมทั้งนั้น
วัยของอุเทนในตอนนี้น่าจะเข้าวัดฟังธรรมและนึกปลงในตัณหา มากกว่าจะคิดหาเมียสาวๆไว้นอนกอด
“ค่ะ เข้าใจแล้วว่าบ้านเป็นของเสี่ย เสี่ยไม่จำเป็นต้องเกรงใจใคร” เพราะความหงุดหงิดระคนกดดัน หล่อนจึงพูดเสียงกระแทกตามแรงอารมณ์ และนั่นก็ทำให้อุเทนถึงกับฉุน
“ประชดเหรอไง”
“ไม่ได้ประชดค่ะ พูดเรื่องจริงทั้งนั้น”
“เดี๋ยวนี้ชักจะถือดีมากขึ้นทุกวันนะ” พูดพลางดึงหญิงสาวลงจากเตียงโดยไม่ใส่ใจต่อเสียงอุทานที่บ่งชัดถึงความตกใจระคนเจ็บปวด
“เอ๊ะ ! ฉันเจ็บนะเสี่ย”
“เจ็บเสียบ้างก็ดี ยิ่งนานวันยิ่งกล้าแข็งข้อกับเฮียมากขึ้นนะ อย่าลืมว่าน้องนันต้องมาเป็นเมียของเฮีย หัดว่านอนสอนง่ายให้เฮียเอ็นดูซะบ้าง”
“แต่ฉันไม่ได้รักเสี่ยนะคะ”
ประโยคนี้ทำเอาอุเทนตาสว่างวาบ ชายชราบดกรามดังกรอดอย่างขุ่นเคือง มืออวบอูมเลื่อนมาบีบต้นแขนนุ่มอย่างแรงแล้วเอ่ยตะคอก
“เฮียไม่สน เธอจะรักหรือไม่รักก็เรื่องของเธอ เฮียรู้แค่ว่าเฮียต้องการเธอ ชีวิตของเธอเป็นของเฮียนับตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันที่สถานสงเคราะห์แล้ว !”
“ทำไมเสี่ยต้องบังคับกันด้วย ฮือ…” หยดน้ำตาไหลพร่างพรู นับตั้งแต่วันที่ลืมตาดูโลกใบนี้ คนแรกที่หล่อนมองเห็นคือใบหน้าของพี่เลี้ยงในบ้านเด็กกำพร้า
หล่อนเติบโตมาพร้อมกับเด็กๆอีกหลายสิบคน แม้จะมีข้าวให้กิน แต่ปราศจากไออุ่นของคำว่า‘ครอบครัว’
ครั้นได้ออกจากบ้านกลิ่นฝัน หล่อนก็ต้องถูกจองจำอยู่ภายใต้อาณัติของอุเทนที่หวังในตัวหล่อน
ราวกับหล่อนเป็นเพียงสมบัติชิ้นหนึ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจ…
“ช่วยไม่ได้นะน้องนัน เป็นเมียเฮียรับรองจะมีแต่ความสบาย อยากได้อะไร เฮียก็จะหามาให้ได้”
“ฉันต้องการแค่อย่างเดียวคืออิสระ เสี่ยให้ฉันได้ไหมล่ะ” หล่อนถาม ทั้งๆที่รู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะได้รับคำตอบเช่นไรจากอุเทน
“ไม่ได้ ชีวิตเธอเป็นของเฮีย เฮียจะสั่งให้ทำอะไรก็ได้ แม้กระทั่งจะสั่งให้เธอไปตาย เธอก็ต้องทำ”
“เสี่ยใจร้ายเกินไปแล้วนะ” เสียงใสเริ่มสั่นเครือ พยายามกระพริบตาเพื่อขับไล่หยดน้ำแห่งความอ่อนแอให้ไหลคืนสู่อก
“ใจร้ายที่ไหน ถึงจะให้อิสระแก่เธอไม่ได้ แต่เฮียมีความสบายที่จะมอบให้เธอไปตลอดชีวิต”
“สบายแต่ไม่มีความสุข ฉันไม่ต้องการ”
“เอ๊ะ ยังไงเนี่ย ตอนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆก็ออกจะเชื่อฟัง ไม่มีปากเสียง แต่ยิ่งโตยิ่งปากดีนะน้องนัน” อุเทนคำรามในลำคออย่างไม่พอใจ
“เสี่ยคงไม่รู้หรอก ถึงจะไม่พูดอะไรก็ใช่ว่าจะเห็นด้วย เสี่ยทำตามใจตัวเองแต่ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของฉันเลย”
“แล้วทำไมต้องนึกถึงด้วยล่ะ ตั้งแต่เกิดมา เธอก็ไม่มีใครต้องการอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแม่หรือพ่อ เธอเป็นเด็กที่ไม่มีใครต้องการ แต่เฮียก็ยังรักเธอ ต้องการเธอ และอยากเป็นผัวเธอ เฮียมีน้ำใจมากแค่ไหนรู้ไหมที่คิดจะยกย่องเด็กไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างเธอขึ้นเป็นภรรยาน่ะ ”
ฟังแล้วหล่อนก็เจ็บจี๊ดในอก นี่น่ะเหรอ…คนที่จะมาเป็นสามีในอนาคตของหล่อน ขืนยอมแต่งงานกับเขา มีหวังหล่อนต้องร้องไห้ไปทั้งชีวิตแน่
“เสี่ยเห็นฉันเป็นแค่สิ่งของ ทุเรศที่สุด”
สิ้นคำตำหนิ ฝ่ามืออวบหนาก็ปะทะแก้มหญิงสาวอย่างแรง
เผียะ !
“อย่าปากดีนัก เฮียเสียเงินตั้งเท่าไหร่กว่าจะส่งเธอเรียนจนจบ อย่ามาเนรคุณเฮีย”
“ที่เสี่ยส่งฉันเรียนจนจบมัธยมก็เพราะหวังผลประโยชน์”