บทที่ 1 แรกพบว่าที่สามีจำเป็น 3
“อ๋อ…” หญิงสาวครางในลำคออย่างเข้าใจ สิ่งที่ได้ฟังเขาเล่ามา ก็มีทางเป็นไปได้สูงเลยทีเดียวเพราะอุเทนเป็นนักอนุรักษ์ของเก่า ชอบสะสมของโบราณ แม้จะต้องทุ่มเงินมากแค่ไหนก็ยอม ขอแค่ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการมาก็เป็นพอ
“แต่ผมคงไม่มีโอกาสได้ของคืนแล้วล่ะ” ตติยะถอนหายใจยาวเหยียด สิ่งล้ำค่าที่เป็นตัวแทนแม่ ตอนนี้ได้หายสาบสูญไปอยู่ในมือของคนขี้โกงโดยที่เขาไม่อาจเอากลับคืนมาได้
นันวรานิ่งเงียบไปพักใหญ่ หล่อนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง และในระหว่างที่คิด ดวงตากลมโตก็คอยมองหน้าคู่สนทนาไปด้วย ก่อนจะตัดสินใจถามอย่างไม่แน่ใจนัก
“ขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมคะ คุณเคยไปบริจาคของเล่นกับขนมที่สถานสงเคราะห์หรือเปล่า”
ชายหนุ่มนิ่งงันเพราะงงที่จู่ๆหล่อนก็เปลี่ยนเรื่องคุย แต่เขาก็ตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน
“เคยตอนอายุ 20 แค่ครั้งเดียว”
นันวราตาสว่างวาบ รีบถามต่ออย่างกระตือรือร้น “ใช่สถานสงเคราะห์กลิ่นฝันหรือเปล่าคะ”
“อืม…” ตติยะขมวดคิ้วครู่หนึ่งก่อนจะคลายออก พลางพยักหน้า “ใช่…ทำไมเหรอ ?”
คราวนี้ความมั่นใจของหญิงสาวยิ่งทวีสูงขึ้นจนเกือบเต็มร้อย หล่อนเดินเข้าไปยืนใกล้เขาแล้วเงยหน้าขึ้น
“งั้นมองหน้าฉันให้ดีๆสิคะ คุณจำฉันได้ไหม เราเคยเจอกันครั้งหนึ่งที่บ้านกลิ่นฝัน”
ชายหนุ่มหลุบตาลงมองคนตัวเล็ก…สบนัยน์ตาสีดำสนิทที่มองเขาอย่างรอคอยคำตอบ อะไรบางอย่างในแววตาของหล่อนทำให้เขานึกไปถึงเด็กหญิงหน้าตามอมแมมที่เขาจับตัวขึ้นพาดบ่ากลับมาที่สถานสงเคราะห์
หรือว่า…
ตติยะเบิกตากว้าง ก่อนอุทานลั่น
“เฮ้ย ! อย่าบอกนะว่าคุณคือเด็กผู้หญิงตัวกระเปี๊ยกที่เคยด่าผมอย่างเจ็บแสบเมื่อหลายปีก่อน”
“ขอบคุณนะคะที่จำฉันได้”
“แสบมากนะ ก้าวร้าวตั้งแต่เด็ก คนรึอุตส่าห์หวังดีด้วยแต่กลับถูกด่าเสียๆหายๆ”
“แล้วใครใช้ให้คุณมาเจ้ากี้เจ้าการชีวิตของฉันล่ะ”
“คุณทำผิด แอบหนีไปแบบนั้น ในฐานะที่ผมมีน้ำใจ ผมจะทนมองเฉยๆได้ไง” เขาแก้ตัว ขณะที่หญิงสาวยิ้มเย็น ชี้หน้าเขาแล้วกล่าวหา “มีน้ำใจมากเกินไปน่ะสิ เพราะคุณคนเดียว เพราะคุณทำให้ฉันต้องมีชะตากรรมแบบนี้ ไอ้ปิศาจ”
“ห๊ะ ! อะไร จู่ๆก็มาว่าผมเป็นปิศาจ คุณนั่นแหละ แก่นเป็นม้าดีดกะโหลกตั้งแต่เด็ก”
หน้าหวานงอง้ำอย่างไม่พอใจ มือเล็กกำคอเสื้อเขาไว้แน่น ตากลมวาววับ…ในที่สุดก็ถึงวันที่จะได้ชำระบัญชีแค้นกับเขาแล้ว
“ทำไม…จะต่อยผมเหรอไง”
“ใช่ ฉันจะเอาคืนในสิ่งที่คุณทำกับฉัน”
“ผมไปทำอะไรให้คุณนักหนา”
“ฉันอุตส่าห์หนีรอดแล้ว แต่คุณก็มาลากฉันกลับไป”
“หมายถึงตอนที่แบกคุณกลับบ้านกลิ่นฝันนั่นน่ะเหรอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง เขาไม่มีทีท่าหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย แม้หญิงสาวจะเงื้อกำปั้นหราราวกับพร้อมจะชกหน้าเขาได้ทุกเมื่อก็ตาม
“ใช่ เพราะฉันรู้ดีว่าคนที่มาขอฉันไปเลี้ยงคืออุเทน ตาแก่นั่นลามกมาก เขาชอบลวนลามฉันทุกครั้งที่มาเยี่ยมที่สถานกำพร้า ฉันกลัวเขา พอรู้ว่าเขาจะขอรับอุปการะฉัน ฉันเลยหนีออกมา แต่คุณก็มาลากฉันกลับไป ทำให้ฉันต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้”
ฟังหล่อนกล่าวหาแล้ว ชายหนุ่มก็นึกใจหาย ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่เขาเคยทำในอดีตจะทำให้ชีวิตเด็กผู้หญิงคนหนึ่งต้องขื่นขมถึงเพียงนี้ แต่กระนั้นเขาก็ยังแย้งเสียงอ่อน
“แล้วคุณคิดเหรอว่าแค่ขนมถุงเดียวจะทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ตามลำพังน่ะ ถ้าวันนั้นผมไม่พาคุณกลับ คุณอาจจะกลายเป็นเด็กจรจัดข้างถนน อดอยากปากแห้ง ไม่มีที่ซุกหัวนอนก็ได้”
นันวรานิ่งอึ้ง จริงอย่างที่เขาพูด ตอนยังเด็กหล่อนคิดแค่ว่าทำยังไงก็ได้เพื่อให้พ้นเงื้อมมือของอุเทน โดยลืมนึกไปว่าการที่ต้องเอาชีวิตให้รอดในสังคมเมืองหลวงทั้งๆที่เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวคนเดียวนั้นเป็นสิ่งที่ยากมาก
แม้จะเห็นด้วยอย่างที่เขาว่ามา แต่หล่อนก็ยังไม่วายทำเสียงแข็ง
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงคุณก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำกับฉัน”
“คุณจะให้ผมทำยังไงล่ะ”
หญิงสาวปล่อยมือจากเสื้อเขา จากนั้นก็หันหลังให้ พลางกอดอกแล้วครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
ทุกครั้งที่อุเทนแตะต้องตัว หล่อนจะรู้สึกรังเกียจ แล้วไหนจะท่าทางเบ่งอำนาจที่ชอบข่มขู่ให้หล่อนตกอยู่ในโอวาทนั่นอีก และที่สำคัญ…อุเทนโรคจิต
เพราะต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของชายแก่มานาน หล่อนจึงรู้นิสัยอุเทนเป็นอย่างดีว่าเป็นเช่นไร หากไม่รีบหนีไปจากที่นี่ก่อนจะถึงวันเกิด ชีวิตของหล่อนคงไม่มีโอกาสได้สัมผัสคำว่าอิสระ และรู้จักกับคำว่าความสุขแน่ๆ
เห็นหญิงสาวนิ่งไปนาน ตติยะจึงเอ่ยถาม “ตกลงว่าไงล่ะ”
นันวราสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อรวบรวมความกล้า แล้วตอบว่า
“คุณเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ฉันต้องมาตกอยู่ใต้อำนาจของตาแก่โรคจิต แถมยังขโมยจูบแรกไปจากฉัน ดังนั้นคุณต้องรับผิดชอบ ฉันจะหาแหวนให้คุณ แต่คุณต้องช่วยพาฉันออกไปจากบ้านของเสี่ย”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง แล้วถามต่อ “แต่เสี่ยเป็นคนอุปการะคุณ เขามีสิทธิ์ที่จะรั้งคุณให้อยู่กับเขา ผมเป็นแค่คนนอก ไม่มีสิทธิ์อะไรมากมายถึงขนาดจะช่วยคุณให้หนีพ้นจากเขาได้หรอก”
นันวราหน้าซีดเผือด มือเย็นเฉียบ นั่นสิ…หล่อนลืมนึกถึงเรื่องนั้นไปเลย จะทำยังไงดีนะ…
ระหว่างที่ยืนตัวแข็ง น้ำตาเอ่อคลอด้วยความน้อยใจในวาสนาอยู่นั้น จู่ๆอ้อมแขนแกร่งก็สวมกอดหล่อนจากทางด้านหลัง เล่นเอาหญิงสาวสะดุ้งโหยง ฟาดมือใส่ท่อนแขนแข็งแรงแล้วตวาดแหว
“อย่ามากอดฉันนะ จะมากเกินไปแล้ว”
“ผมมีข้อเสนอดีๆจะแนะนำคุณ”
“มีอะไรก็ว่ามาสิ ไม่เห็นจะต้องลวนลามฉันเลย อยากโดนชกจริงๆใช่ไหม” หล่อนขู่ ทว่าเขากลับไม่ยอมปล่อย…
ร่างเล็กๆที่ได้โอบกอด กลิ่นหอมของสบู่และนวลเนื้อสาวมีเสน่ห์จนยากเกินจะตัดใจ สิ่งที่อยู่ในสมองของตติยะตอนนี้มีเพียงเรื่องเดียว…เขาไม่ต้องการให้ชายอื่นได้กอดหล่อน จูบหล่อน ซ้ำยังเกิดแรงปรารถนาอย่างน่าประหลาดขึ้นในความรู้สึก
อยากเป็นเจ้าของ…อยากครอบครอง หรือว่านี่จะเป็นเพียงความต้องการปกติของผู้ชายเวลาพบเจอสาวที่ถูกใจเท่านั้น
ใช่…คงเป็นเช่นนั้นแหละ เขาแค่ถูกใจและอยากได้หล่อน และคนอย่างเขาหากหวังสิ่งใดก็ต้องคว้ามาให้ได้ !
ตติยะหัวเราะในลำคอเมื่อยอมปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ ดวงตาคู่คมเป็นประกายระยับเมื่อกระซิบถาม
“งั้นให้ผมเป็นสามีจำเป็นของคุณมั้ยนัน ผมจะได้มีสิทธิ์ในตัวคุณ มีสิทธิ์ที่จะปกป้องคุณ คุณจะไว้ใจผม และให้สิทธิ์นั้นแก่ผมได้ไหมครับ ?”
สองแก้มนวลแดงปลั่ง ดวงตาคู่โตเบิกกว้างนิดๆอย่างไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ได้ฟังนั้นถูกต้องหรือเปล่า ครั้นเห็นหล่อนอึ้ง พูดไม่ออก เขาก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า
“ผมอยากรับผิดชอบในสิ่งที่ผมทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เมื่อ 6 ปีก่อน ในเมื่อผมเป็นคนพาคุณกลับสถานสงเคราะห์ เหมือนส่งคุณให้ไปอยู่ในมือเสี่ยอุเทน ดังนั้นตอนนี้ผมเลยอยากช่วยให้คุณรอดพ้นจากการเป็นเจ้าสาวของตาแก่นั่น”
ฟังแล้ว หล่อนก็ได้แต่ถอนหายใจ หล่อนคาดหวังอะไรกับชายแปลกหน้าคนนี้…เขาก็แค่รับอาสาเพราะอยากแก้ตัวในเรื่องอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว
อันที่จริงเขาจะไม่สนใจหล่อนเลยก็ได้ แต่นี่ทำไมถึงนึกอยากช่วย มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า… เมื่อสงสัยแบบนั้น หญิงสาวจึงไม่รีรอที่จะออกปากถาม
“ที่คุณเสนอตัวเป็นสามีฉัน เพราะหวังอะไรอยู่หรือเปล่าคะ”
ตติยะสะดุ้งโหยง เหมือนคำถามนั้นจี้ใจดำเข้าให้อย่างจัง เขารีบยกมือขึ้นโบกไปมา ปฏิเสธเสียงลั่น
“ไม่มี…ไม่ได้หวังอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว จริงๆนะ ไม่เชื่อก็ดูตาผมสิครับ ใสซื่อปานนี้จะมีอะไรแอบแฝงได้ไง”
หัวคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน พลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมกริบที่กระพริบปริบๆและรอยยิ้มกว้างที่อวดลักยิ้มตรงแก้มสองข้างนั่น
รอยยิ้มเหมือนไร้เดียงสา แต่ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น…ดูยังไงก็เจ้าเล่ห์ชัดๆ
“ฉันควรเชื่อใจผู้ชายมือไวที่คว้าฉันไปจูบทั้งๆที่ไม่รู้จักกันเหรอคะ” หญิงสาวย้อนถาม เล่นเอาตติยะถึงกับหน้าเจื่อน แต่สักพักก็ปรับสีหน้าให้กลับเป็นปกติได้
“คุณดูโน่นสิ” ชี้มือออกไปทางหน้าต่าง “เห็นอะไรไหม เป็นเพราะมนต์พระจันทร์ที่ทำให้ผมเผลอจูบคุณ พูดง่ายๆก็คือบรรยากาศพาไปนั่นแหละ” เขาจัดแจงโยนความผิดให้‘ดวงจันทร์’อย่างหน้าตาเฉย ขณะที่นันวราหรี่ตาลงแล้วถอนหายใจ
“ไหนๆก็ไม่มีทางเลือกแล้ว ฉันจะลองเชื่อคุณดูสักครั้งก็ได้ค่ะ แหวนที่คุณอยากได้คืนมีรูปร่างแบบไหนล่ะคะ”
ตติยะยิ้มอย่างพอใจ เขาล่วงมือเข้ากระเป๋าเสื้อแล้วหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งมาส่งให้ “นี่ครับ”
“ค่ะ ฉันจะรีบหาให้เจอโดยเร็วที่สุดค่ะ” หญิงสาวให้คำมั่น ขณะที่เขาทรุดนั่งคุกเข่า พร้อมคว้ามือคนที่ยืนอยู่มากุมไว้ แล้วพูดคล้ายจะล้อเลียนว่า
“งั้นคืนพรุ่งนี้เจอกันนะครับ… ว่าที่เจ้าสาวของผม”
“บ้า !” หญิงสาวค้อน หน้าร้อนวาบเมื่อเขาจรดปลายจมูกลงที่หลังมือนุ่มพร้อมจูบเบาๆดุจจะอำลา
“ว่าผมบ้าทำไม ไม่คิดว่าผมน่ารักบ้างเลยหรือไง” เขาถามเสียงฉุนๆ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ขณะที่หญิงสาวรีบชักมือหนี ใจเต้นโครมครามผิดจังหวะ
“ฉันไม่ตลกไปกับคุณหรอกนะ”
“ผมก็ไม่ได้คิดจะทำตลกนะ ผมซีเรียส” เสียงพูดจริงจัง ดวงตาจริงใจ ก่อนที่ชายหนุ่มจะยิ้มอีกครั้งเมื่อทรงกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วลาสั้นๆ “ไปล่ะ”
จากนั้นเขาก็คว้าผ้ามาคลุมหน้าไว้ตามเดิมแล้วกระโจนออกทางหน้าต่างยังรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งหายลับไปในความมืด ทิ้งให้นันวรายืนนิ่งงันอยู่ตามลำพังผู้เดียว สักพักหล่อนก็พึมพำว่า
“ตาลิงวอกเอ๊ย !”
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หล่อนได้ใกล้ชิดผู้ชายวัยหนุ่มเช่นเขา และก็น่าแปลกที่หัวใจที่เคยสงบนิ่งมานานกลับเริ่มหวั่นไหวเพียงเพราะถูกคนที่หล่อนเรียกว่า‘ลิง’ขโมยจูบแรกไปอย่างไม่ทันตั้งตัว