บทที่ 6 โม่ หย่งผิง
บทที่ 6 โม่ หย่งผิง
แคว้นฉี เมืองหลวง
แคว้นฉี แคว้นใหญ่มีอำนาจ หนึ่งในสามของสองแคว้นที่ประกอบไปด้วยแคว้นโจ และ แคว้นเจี้ยน แคว้นฉีขึ้นชื่อเรื่องการรบแต่ด้านการค้าก็รุ่งเรืองมากเช่นกัน ด้วยแคว้นฉียอมเปิดแคว้นและให้แคว้นเจี้ยนที่เป็นอันดับหนึ่งเรื่องการค้า เข้ามาค้าขายในแคว้น แคว้นฉีนั่นอยู่จุดสูงสุดบนดินแดนเหนือ จึงทำให้มีอากาศหนาวและมีหิมะตกเกือบตลอดทั้งปี แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดอ่อนของพวกเขา แคว้นฉีแข็งแกร่งและเป็นแคว้นที่สวยงามมาก แคว้นโจจึงต้องการแคว้นฉีมาเป็นของตน เพราะอากาศเย็นจัด สินค้าเรื่องชื่อของแคว้นจึงเป็นพวกขนสัตว์เป็นส่วนมาก
ในแคว้นฉี ราษฎรต่างอยู่กันอย่างร่มเย็น เป็นยุคทองของแคว้นเลยก็ว่าได้ เนื่องจากฮ่องเต้ตี้มงหวาง พระองค์เป็นจักรพรรดิที่เก่งกาจ มากความสามารถ และมากไปด้วยความเมตตา ทำให้บ้านเมืองสุขสุงบ แคว้นฉีในตอนนี้จึงเหมือนสวรรค์ดีๆของทั้งประชาชนในแคว้นและในต่างแคว้น
ขบวนรถม้าทั้งทหารหลายร้อยนาย พากันเคลื่อนผ่านประตูเมืองเข้ามา วันนี้ท้องฟ้าไร้หิมะ มีเพียงลมเย็นๆพัดผ่านผู้คนจึงออกมาต้อนรับการกลับมาของทหารที่ไปร่วมรบเอาเมืองจ๋าย มีเสียงเฮ เสียงสรรเสริญดังตลอดทั้งทาง ผู้คนต่างยิ้มรับยินดี
ผิงในรถม้า ได้ยินเสียงคนร้องสรรเสริญก็อดแปลกใจ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงเผลอแง้มผ้าม่านในรถออกเล็กน้อยเพื่อดูเหตุการณ์ข้างนอก แต่พอชะโงกหน้าออกมาใบหน้านางก็นิ่งสนิท เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งบนหลังม้า ข้างๆรถม้าที่ผิงนั่ง
เยี่ยอวิ๋นเฉินปรายตาลงมองคนที่ชะโงกหน้าออกมาจากรถม้าเล็กน้อย เมื่อสายตาสองคู่ได้สบตากัน บริเวณนั้นก็เกิดความเย็นเยียบพัดผ่านมา
ผิงจ้องดวงตาแฝงแววเยาะเย้ยนั้นอย่างเย็นชา คิดในใจว่า ‘เหตุใดเจ้าเด็กนี่จึงมาอยู่ข้างรถม้าตนได้ ไม่น่าเล่า ถึงรู้สึกเหม็นกลิ่นอะไรแปลกๆ ที่แท้ก็กลิ่นไอ้เด็กหน้าโหด’
ผิงทราบว่าตนนั้นอคติ จริงๆไม่ได้มีกลิ่นอะไรหรอก แต่อยากด่า ใครจะทำไม'
เมื่อส่งแรงกดดันใส่กันอยู่สักพัก เยี่ยอวิ๋นเฉินก็เป็นฝ่ายผินหน้าไปที่อื่นเพราะรู้สึกว่าตนกำลังทำเรื่องไร้สาระ ผิงเมื่ออีกฝ่ายยอมแพ้แล้วก็เก็บคอกลับเข้ามาในรถม้า ปิดม่าน หมดอารมณ์จะชมทัศนียภาพใดๆ
หลายชั่วยามที่อยู่ในรถม้า ในที่สุดรถม้าก็หยุดเคลื่อนไหว ผ้าม่านตรงประตูถึงเลิกออก ปรากฏร่างของบุรุษรูปงาม ในชุดเกาะสีเข้ม
โม่หยวนฟางส่งยิ้มมาให้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ถึงแล้ว ลงมาเถอะ”
“ขอรับ”
ผิงรับคำมุดตัวออกจากรถม้า เมื่อได้เห็นทัศนียภาพเบื้องหน้าแล้วก็อดจะตื่นตะลึงไม่น้อย
หน้าจวนขนาดใหญ่ บานประตูที่ใหญ่เกินความจำเป็น กลืนพื้นที่ไปหลายส่วน ตรงหน้าปรากฏกลุ่มคนหน้าประตูมากมายที่ออกมาต้อนรับ หน้าสุดเป็นสตรีในวัยสาว ใบหน้างดงามราวนางฟ้านางสวรรค์ ในชุดสีม่วงยืนยิ้มอยู่ ข้างกันเป็นเด็กหญิงตัวน้อย หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู คาดว่าหากโตเป็นสาวแล้วคงงามอย่างหาตัวจับได้ยาก
“หย่งผิง”
โม่หยวนฟางเอ่ยเรียกผิงอีกครั้งเมื่อบุตรชายไม่ยอมเดินลงมาจากรถม้า
ผิงหลุดจากความคิดภายใน รีบก้าวลงบันไดมายืนบนพื้น จัดการโค้งตัวทำความเคารพอย่างนอบน้อมตามที่ โม่หยวนฟางได้สอนไว้
แม่ทัพโม่อมยิ้มน้อยๆอย่างภูมิใจ เมื่อหย่งผิงยืดตัวตรงแล้วจึงจูงมือเด็กชายเข้าไปใกล้ โม่ฮูหยิน ภรรยาของตน
เหลียนวี่เหมย หรือ โม่ฮูหยิน ย่อกายคำนับสามี โม่หยวนฟางเข้ามาประครองร่างของภรรยาให้ลุกขึ้นพร้อมหันไปยิ้มให้บุตรสาวของตน
“เวยเวย มาหาบิดาสิลูก”
เวยเวย หรือโม่เวย ได้ยินบิดาเรียกก็เดินเข้าไปหา โม่หยวนฟางสวมกอดลูกสาว หอมแก้มซ้าย แก้มขวา แล้วจึงผละออก จับมือผิงดึงให้มายืนอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น
“หย่งผิง ต่อไปนี้ เขาคือ คุณชายใหญ่แห่งจวนเรา เป็นบุตรชายของข้า และเป็นท่านพี่ของเจ้านะ เวยเวย”
โม่หยวนฟางประกาศให้คนทั่วจวนได้ทราบ ก่อนจะหันมาบอกเสียงอ่อนกับลูกสาว
โม่เวยในวัยสองขวบ เงยใบหน้าน่ารักขึ้นมอง ท่านพี่คนใหม่ ผิงเห็นเด็กน้อยจ้องมา จึงขยับปากเป็นเส้นโค้งบางๆ
โม่เวย เห็นท่านพี่ยิ้มให้ก็ฉีกยิ้มกว้างจนตาทั้งสองปิดสนิท จากนั้นจึงย่อกายคำนับ
“คาราวะ ท่านพี่ โม่เวย เจ้าค่ะ” เด็กน้อยกล่าวแนะนำตัวอย่างร่าเริง ผิงเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเอ็นดูขึ้นกว่าเดิม เอ่ยแนะนำตนกลับ
“ข้า โม่ หย่งผิง”
“หย่งเกอ” เด็กหญิงเรียกอย่างอ่อนหวาน เดินเข้ามาจับมือผิงแล้วลากเข้าไปในเรือน ผิงตกใจ หันไปมองโม่หยวนฟางอย่างคาดไม่ถึง แต่คนเป็นบิดาก็ยิ้มกว้างส่งมาให้ จากนั้นจึงรวบตัวภรรยาพากันเดินเข้าไปในเรือน
“บุตรชายท่าน น่าเอ็นดูกว่าที่ข้าคิดนะเจ้าค่ะ” เหลียนวี่เหมยเอ่ยขึ้นยามเดินเข้ามาในเรือน
โม่หยวนฟางได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้าง “เจ้ายังไม่เห็นฤทธิ์เดชของ อาผิง แสบน่าดู แต่เขาก็เข้าใจอะไรง่าย ข้ายากให้เจ้าช่วยดูแลเขาหน่อย เด็กนั่นช่างน่าสงสาร”
วี่เหมยเหลือบสายตาขึ้นมองผู้เป็นสามี ดวงตาเขาช่างอ่อนโยนนัก เป็นเช่นนี้เสมอ หากพบเจอเด็กที่กำพร้า โม่หยวนฟางมักจะยื่นมือช่วยเหลือ แต่หย่งผิงเป็นคนแรกที่ หยวนฟางรับมาอยู่ในจวน ทั้งยังประกาศให้คนทั้งจวนให้เกียรติเขาเป็นคุณชาย สูงส่งราวบุตรแท้ๆ
‘หย่งผิง มีอะไรดีน่าสนใจขนาดนั้นกันนะ’ เหลียนวี่เหมยคิดในใจ ปากก็รับคำ
“เจ้าค่ะ”
หลังจากถูกลากเข้ามาในจวนและได้รู้จักมารดาบุตรธรรม ผิงก็ถูกพามาที่เรือนที่โม่หยวนฟางบอกว่าเป็นเรือนตน เรือนไม้หลังใหญ่ มีสวนรอบๆตัวเรือนที่ถูกจัดไว้อย่างสวยสดงดงาม ในห้องนอนที่ใหญ่อย่างมาก จริงอยู่ว่าก่อนที่ตนจะตาย ก็นอนห้องนอนประมาณนี้ แต่นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ผิงจึงอดรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
วันนั้น แม้จะเหนื่อยมาก แต่ผิงก็นอนไม่หลับ หนึ่งตื่นเต้น สอง กลัวว่าทั้งหมดจะเป็นเพียงฝัน แล้วพอตื่นมาอีกครั้ง ตนจะต้องนั่งกอดตัวเองอยู่อย่างเดียวดายท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างเหน็บหนาว
‘กลัว กลัวเหลือเกิน’
คืนแรกที่จวนสกุลโม่ ผิงเผลอหลับไปตอนยามหนึ่ง
ผิงค่อยๆลืมตาเมื่อรู้สึกถึงอะไรยุกยิกยุกยิกอยู่ข้างๆ พอลืมตาได้ก็ต้องกระพริบตาปรับแสงสว่างให้ชิน
“ตื่นแล้วหรือ?” เสียงเล็กดังขึ้นข้างหู ผิงตกใจ หันไปมองพอเห็นเป็นใครก็ร้องอุทานออกมาเสียงดัง
“เฮ้ย!”
เด็กน้อยตกใจไม่ต่างกันเมื่อ ท่านพี่คนใหม่ร้องออกมาเสียงดัง ใบหน้าน่ารักจึงบึ้งตึง มองท่านพี่อย่างตัดพ้อ
ผิงรีบผุดลุกขึ้นนั่ง ร้องเรียก
“คะ คุณหนู”
และเมื่อโม่เวยได้ยินสรรพนามที่ท่านพี่ใช้เรียก เด็กน้อยก็เบ้ปากทำท่าจะร้องไห้ ผิงเห็นอย่างนั้นก็ตกใจ รีบร้องห้าม
“อย่า อย่า ร้องนะขอรับ อย่าร้องนะ”
“หย่งเกอ ไม่เรียกเวยเวย หย่งเกอไม่เรียกเวยเวย” เด็กน้อยเอ่ยเสียงเครือน้ำตาคลอเบ้า ผิงเห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจออกมาหนึ่งที
“เรียกแล้ว เรียกแล้วขอรับ เวยเวย”
จบคำหย่งผิง เด็กน้อยก็ฉีกยิ้มกว้างกล่าวเสียงสดใส
“มารดาให้มาปลุกหย่งเกอ เดี๋ยวจะได้เวลาทานมื้อเช้าแล้วเจ้าค่ะ”
ผิงได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ รีบลงจากเตียง แต่ไม่ลืมหันมาบอก โม่เวย
“ข้าจะรีบอาบน้ำ”
เสร็จก็วิ่งออกจากห้องนอนไป แต่แล้วก็ต้องหยุดอยู่กับที่เมื่อมีบรรดาสาวใช้หลายคนยืนก้มหน้าอยู่หน้าประตู
“นายน้อยเจ้าค่ะ บ่าวจะอาบน้ำให้นะเจ้าคะ” หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยบอก ตามด้วยหญิงอีกคน
“ระหว่างสีสดใส กับ สีทึบ นายน้อยจะเลือกแบบใดเจ้าคะ”
“นายน้อยจะรับ น้ำอาบกลิ่นใดดีเจ้าคะ” และอาจจะตามมาอีกหลายคำถาม ผิงจึงรีบเรียกสติกลับมา บอกคนทั้งหลาย
“ข้าจะอาบน้ำเอง ส่วนเสื้อผ้าเลือกแบบใดมาก็ได้ข้าใส่ได้หมด ส่วนกลิ่นอะไรนั้นไม่เอาแบบใดทั้งสิ้น”
จบคำคุณชายก็เดินผ่านสาวใช้ทั้งหลายที่ได้แต่มองตามอย่างงุนงง คิดในใจว่า
‘นายน้อยไม่รับการปรนนิบัติจากพวกตน ตนจะถูกไล่ออกหรือไม่’
ผิงใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็ ให้สาวใช้ที่รออยู่ด้านนอกนำเสื้อผ้ามาให้ สาวใช้ตั้งใจจะสวมให้ตน แต่ผิงก็ไล่ออกไปก่อน หากมาแต่งตัวให้ ความลับคงได้แตกเป็นแน่ ผิงรีบใส่เสื้อผ้า สาวใช้คนเดิมวิงวอนขอทำผมให้ ผิงจึงพยักหน้า ผมยาวสีดำถูกเกล้าขึ้นครึ่งศีรษะ และกลัดผมไว้ด้วยปิ่นปักผมสีทอง ผิงอดตะลึงในใจไม่ได้
‘ตระกลูโม่ร่ำรวยเพียงใด จึงเอาทองมาทำเป็นปิ่นปักผมเล่น’ คิดแล้วก็ส่ายหน้ากับความฟุ่มเฟือยนี้ เมื่อเสร็จสิ้นทุกสิ่งผิงก็ถูกพามาที่เรือนใหญ่
ห้องอาหาร เรือนใหญ่ ทั้งประมุขของเรือน โม่ฮูหยิน คุณหนูน้อยโม่เวย ต่างนั่งกันอยู่ครบแล้ว เหลือก็แต่ หย่งผิง นายน้อยคนใหม่
ผิงเดินเข้ามา เห็นทุกคนต่างมากันครบก็รู้สึกว่าตนเสียมารยาท จึงประสานมือทำความเคารพ ผู้ใหญ่ทั้งสอง
“ขออภัยขอรับ”
“ไม่เป็นอันใด ข้าเข้าใจว่าเจ้าคงจะเหน็ดเหนื่อย เข้ามานั่งเถิด” โม่หยวนฟางเป็นคนกล่าว ทั้งบอกให้ผิงมานั่งยังที่นั่งข้างตน
“ขอบพระคุณขอรับ” ผิงกล่าวขอบคุณแล้วจึงเดินเข้าไปนั่งยังฟูกนุ่มหรูหรา
เมื่อสมาชิกในครอบครัวโม่มากับครบ ก็เริ่มกันทานมื้อเช้า ในวันนี้ ทุกคนต่างทานอาหารอย่างเงียบเชียบ จะมีบ้างที่โม่เวยงอแงให้ บิดามารดาป้อนอาหาร แต่โดยรวมแล้วบรรยากาศก็เงียบเชียบเสียมากกว่า
เข้าเวลาสาย แสงแดดเล็กน้อยสาดส่องลงมา วันนี้ไม่มีหิมะตก ผิงถูกโม่หยวนฟางเรียกพบ
ในห้องหนังสือของท่านแม่ทัพโม่ โม่หยวนฟางอ่านเอกสารต่างๆอยู่ที่โต๊ะทำงาน
“นายท่านเจ้าค่ะ นายน้อยมาแล้วเจ้าค่ะ” โม่หยวนฟางหยุดการอ่านเอกสาร เงยหน้าขึ้นบอก
“ให้คุณชายเข้ามา” สิ้นคำ ประตูถูกเปิดออกตามด้วยร่างสูงแต่ผอมของหย่งผิง ในอาภรณ์สีม่วง ใบหน้าเล็กเกลี้ยงเกลาขึ้นเผยให้เห็น ดวงหน้าน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนเด็กในวัย 9 ขวบ แต่กิริยาที่สุขุมเยียบเย็นกดดันนั้นทำให้เจ้าตัวดูเหมือนไม่ใช่เด็กนัก
“คาราวะบิดา หย่งผิงมาแล้วขอรับ”
“นั่งเถอะ” โม่หยวนฟางบอก ผิงพยักหน้า เดินเข้ามานั่งลงกับฟูกที่จัดไว้ตรงข้ามกับที่โม่หยวนฟางนั่ง
"บิดามีอันใดกับข้าหรือขอรับ?"
โม่หยวนฟางปิดเอกสารและงานที่ทำอยู่ รอจนเสร็จ แม่ทัพโม่จึงเอ่ยพูด
"บิดาจะแจ้งเรื่องที่จะให้เจ้าไปเรียนการทหารที่ค่ายทหารทัพสกุลเยี่ย"
'สกุลเยี่ย'
"ใช่สกุลของเจ้าเด็กหน้าโหด เยี่ย ใช่หรือไม่ขอรับ?" ผิงเอ่ยถามเมื่อรู้สึกว่า สกุลมันคุ้นๆ และเผลอใช้สรรพนามเรียกศัตรูที่ตนเองแอบใช้คนเดียว
โม่หยวนฟาง ขมวดคิ้ว สงสัย ด้วยไม่แน่ใจว่า 'เด็กหน้าโหดเยี่ย' ที่หย่งผิงหมายถึงนั้น คือคนเดียวกันกลับ 'ขุนพลเยี่ยอวิ๋นเฉิน' หรือไม่ แต่หากลองตรองดูแล้ว สกุลเยี่ยในเมืองหลวงนี้ ก็เห็นแต่จะมีเพียง สกุลเยี่ยของขุนพลเยี่ยอวิ๋นเฉิน เพียงเท่านั้น
"ถูกแล้ว แต่ว่า อาผิง เหตุใดเรียก ขุนพลเยี่ยเช่นนั้น"
ผิงไม่ตอบ แต่สายตาดุๆของบิดาโม่ที่มองจ้องมาว่า การไม่ตอบคำถามผู้ใหญ่เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จึงยอมเอ่ยปากตอบอย่างไม่เต็มใจนัก
"ก็เจ้านั่นหน้าตาโหดร้าย จิตใจก็โหดร้าย ทำฟันขาหัก และข้าก็ไม่ชอบมัน" ว่าจบก็ก้มหน้าไม่สบสายตาโม่หยวนฟาง เพราะรู้ว่าต้องถูกดุเป็นแน่ แต่แล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นพลัน เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากบิดาบุญธรรม
"ฮ่าๆ ฮ่าๆ"
ผิงเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย โม่หยวนฟางหัวเราะจนต้องฟุบตัวลงกับโต๊ะ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงหยุดหัวเราะแต่ใบหน้ายังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ช่วยไขความกระจ่างให้ บุตรบุญธรรม
"เจ้าคิดเช่นข้าเลย.."
"เช่นนั้น...”
"แต่ว่า เรื่องส่วนตัวกับเรื่องเรียนเป็นคนละเรื่องกัน หากเราเลือกทำงานแต่กับคนที่เราชอบ เช่นนั้นจะไม่วุ่นวายหรือ เราชอบคนทุกคนไม่ได้หรอกหนา อาผิง และเราก็เลือกแต่จะทำงานกับคนที่เราถูกใจมิได้ด้วย เรื่องนี้ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าใจที่สุด"
ผิงที่อ้าปากจะแย้ง พอฟังเหตุผลที่บิดาบุญธรรมกล่าวมาว่ามันสมเหตุสมผลเพียงใด ก็หุบปาก ตอบรับแต่โดยดี
"ขอรับ"
โม่หยวนฟางเผยยิ้ม แต่ยังยิ้มได้ไม่กว้างนัก เสียงเล็กก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
"ข้าเรียนก็ได้ แต่หากทนไม่ไหว ข้าจะต่อยให้คว่ำ"
ฟังจบก็ได้แต่ถอนหายใจ เรื่องอาผิงกับขุนพลเยี่ย คงต้องรอให้โตกันแล้วกระมังจึงจะดีต่อกันได้ หรือไม่ ขุนพลเยี่ยก็ต้องแลกฟันหนึ่งซี่ ไม่ก็มาขอโทษ เจ้าเด็กที่แสนจะแค้นฝังหุ่นนี้ แต่ดูจากนิสัยคนทั้งสองแล้ว นึกไม่ออกเลยจริงๆว่าจะคืนดีกันอย่างไร