บทที่ 5 บุตรชายแม่ทัพโม่
บทที่ 5 บุตรชายแม่ทัพโม่
ผิงคิดว่าบางทีเมื่อครู่ตนอาจจะฟังผิด หรือ เพราะอาจพึ่งตื่นนอน จึงทำให้สมองเบลอๆ หรือว่าอาจจะฝันอยู่
คิดเสร็จก็เดินเข้าไปหาโม่หยวนฟาง จัดการเงื้อมือขึ้นและ
เพี้ยะ!
"โอ๊ย! เจ้านี่บาปกรรม ตบตีบิดา"
'ชัดเลย ชัดเจน ไม่ได้ฝัน ไม่ได้เบลอ ไม่ได้ฟังผิด!’
"อะไร! เจ้าจะเป็นบิดาข้าได้อย่างไร หน้าเจ้าเหมือนคนยังไม่หย่านมมารดาด้วยซ้ำ!!"
ประโยคแรกโม่หยวนฟางยังรู้สึกขบขัน แต่ประโยคสุดท้าย ทำเอาคิ้วกระบี่กระตุก รู้สึกอยากจับเอาไอ้เด็กนี่มาฟาดโทษฐาน ลามปาม ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่
"ข้าอายุ 20 แล้ว เป็นพี่เจ้าตั้ง 12 ปี อย่าลามปาม ไม่เช่นนั้นข้าจะหวดเจ้าแรงๆทีเดียว"
ผิงขมวดคิ้ว สะบัดหน้าไปทางอื่น
"แล้วอะไรที่เจ้าจะเป็นพ่อข้า" เอ่ยถามอุบอิบใบหน้าบูดบึ้ง
โม่หยวนฟางเห็นท่าทางราวเด็กน้อยงอแงนั่นก็อมยิ้ม 'แบบนี้สิ สมเป็นเด็ก' คนโตกว่าคิดพลางวางมือใหญ่บนหัวเล็กลูบเบาๆอธิบาย
"ข้าจะรับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรม"
ผิงตาโตร้องถามอย่างไม่เชื่อหู "เอาจริงดิ?"
"จริง"
"ถ้าเป็นลูกเจ้าได้อะไรบ้าง?" โม่หยวนฟางได้ยินคำถามก็ส่ายหน้าน้อยๆกับความไม่ยอมให้ตนเสียเปรียบ 'นิสัยแก่แดดเกินเด็กเช่นนี้ ควรดัดเสีย มีใครบ้างจะมาเป็นพ่อลูกกันแล้วนั่งเจรจาอย่างกับจะชื้อขายหรือร่วมค้าขายกันเช่นนี้'
คิดแล้วก็ส่ายหน้าอีกรอบ
‘คิดถูกคิดผิดที่จะเอาเจ้านี่มาเป็นลูก’
"ก็…เจ้าก็จะมีเงินใช้ มีอาหารดีๆให้กิน มีเสื้อผ้าดีๆให้ใส่ มีครอบครัว ได้เล่าเรียน และยังมีบ้านให้กลับ"
'มีบ้านให้กลับ' ผิงไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือเปล่า ว่าสิ่งสุดท้ายทำให้รู้สึกดีอย่างประหลาด ความรู้สึกอบอุ่น ภาพพ่อและแม่ในชาติก่อน หวนกลับมา ภาพบ้านที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา ภาพที่ผิงไม่คิดว่าจะมีวันได้สัมผัสมันอีก คิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาก็ปรากฏหยาดน้ำขึ้นคลอหน่วย ผิงรู้สึกแสบจมูกขึ้นมา เอ่ยถามคนตรงหน้า ด้วยโทนเสียงที่ตนไม่เคยใช้มาก่อน มันเป็นคำธรรมดาแสนสั้น แต่เต็มไปด้วย
ความหวัง ความฝัน และความต้องการ
"จริงหรือ?"
โม่หยวนฟางยิ้มกว้าง ก้าวเข้าไปหาเด็กชาย รวบตัวเข้ามากอด เอ่ยตอบเด็กน้อย
"จริงสิ ข้าเคยหลอกเจ้าหรือ"
ผิงซุกใบหน้าลงกับหน้าท้องของโม่หยวนฟาง ยอมให้อีกฝ่ายกอดและตัวเองก็สวมกอดเขาเช่นกัน ความรู้สึกอบอุ่นวิ่งพล่านอยู่ในใจ ผีเสื้อนับร้อยลอยวนอยู่ในท้อง เด็กน้อยขยับมุมปากทั้งสองขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังมองออกว่าเป็นรอยยิ้ม
ยิ้ม ครั้งแรกเมื่อรู้ว่าต้องมีชีวิตใหม่
"ต่อไปนี้เจ้ามีชื่อว่า หย่งผิง ชอบหรือไม่?"
หลังบุตรหมาดๆกับบิดาหมาดๆกอดกันเสร็จก็มาพูดคุยถึงรายละเอียดต่างๆที่จำเป็น ผิงพยักหน้า 'หย่งผิง' คำสุดท้ายเหมือนชื่อตนในชาติก่อน
'ตนชอบ!'
"ตระกูลโม่ ของบิดา เดิมเป็นตระกูลพ่อค้า แต่รุ่นหลังๆมา ก็เข้ารับราชการ บิดาเจ้า เป็นบุตรชายคนรอง ยังมีพี่ชายของบิดาเป็นอาของเจ้า บ้านของบิดาอยู่ในเมือง ในที่ดินของตระกูล เพราะบิดาแต่งงานกับ บุตรสาวของ ขุนนางฝ่ายซ้าย ตระกูลเหลียน ตระกูลขุนนางที่เปี่ยมอำนาจ บิดาถึงต้องแยกเรือนออกมาจากเรือนใหญ่ เจ้ามีน้องสาว นาม โม่เวย มารดาเจ้า วี่เหมย นางเป็นคนจิตใจดี มีเมตตา"
ผิงฟังไปก็พยักหน้าไปด้วย เรื่องต่างๆล้วนไม่รู้สึกแปลกใจอันใด แต่เห็นจะมีเรื่องเดียวที่แปลกใจคือ คนผู้นี้แต่งงานแล้ว
"นางจะไม่รังเกียจข้าหรือ?" ถึงเขาจะบอกว่า ภรรยาเป็นคนจิตใจดี แต่ตนที่เสมือนคนนอก ทั้งยังเป็นนักฆ่า มืออาบไปด้วยเลือด จะได้รับการต้อนรับที่ดีจริงหรือ
โม่หยวนฟางเห็นความกังวลเรื่องนั้นก็ยิ้มอ่อน ลูบหัวหย่งผิงเบาๆ "ข้ามั่นใจ นางต้องเอ็นดูเจ้า เหมือนที่ข้าเอ็นดู"
ฟังจบผิงก็พยักหน้า "แต่ตอนนี้ข้าหิว"
โม่หยวนฟางถึงกลับต้องหัวเราะอีกรอบ ผิงทำหน้านิ่งเมื่อถูกหัวเราะ
'เขาไม่ใช่ตัวตลกและไม่ชอบเป็นตัวตลก'
โม่หยวนฟางกลั้นขำเมื่อเห็นใบหน้าเรียบเฉยแสดงความไม่พอใจของบุตรชายหมาดๆ จากที่สังเกตทำให้โม่หยวนฟางทราบว่า หากเด็กนี่ไม่พอใจอะไรมากๆก็จะทำหน้านิ่งและเงียบไปเฉยๆ
'ช่างเป็นการแสดงความรู้สึกไม่ชอบที่เป็นเอกลักษณ์ เสียเหลือเกิน'
"เช่นนั้นก็ไปกินข้าวกัน ข้าว่าอาหารวันนี้คงถูกปากเจ้าไม่น้อย" โม่หยวนฟางเอ่ยบอกยิ้มๆ
ณ ตลาดประจำเมืองจ๋าย เมืองติดชายแดนแคว้นโจและแคว้นฉี ที่พึ่งได้มาเป็นสิทธิ์ขาดอันชอบธรรมของแคว้นฉีเมื่อคืนที่ผ่านมา
ชาวบ้านต่างพากันมองกลุ่มคนที่แม้จะสวมชุดธรรมดาแต่กลับมีรังสีความน่าเกรงขามแผ่ออกมาทั้งยังดูไม่น่าเข้าหาเป็นอย่างยิ่ง แต่ละคนมีใบหน้าที่เรียบเฉยจนดูเหมือนหุ่น ทั้งร่างกายก็ใหญ่โตแถมที่เอวทุกคนยังมีกระบี่สีดำเล่มยาวคาดอยู่
โม่หยวนฟางหลังจากที่เอ่ยประโยคนั้นจบก็ให้ทหารเตรียมม้า ทั้งจัดคนติดตามเพื่อพาบุตรชายคนใหม่มาเดินตลาดประจำเมือง มีลูกชายทั้งที ก็ควรจะฉลองต้อนรับ เขาตั้งใจว่าจะพาหย่งผิงไปกินอาหารดีๆและชื้อชุดดีๆให้เจ้าตัวใส่ซัก ห้าหกชุด เพื่อใส่กลับในวันรุ่งขึ้น ยามถึงเมืองหลวงแล้ว คนจะได้ไม่มองลูกชายของเขาในทางไม่ดี
ผิงมองไปรอบๆอย่างตื่นตาตื่นใจ แม้ตนจะได้ไปทำงานในหลายๆที่ แต่ก็ไม่เคยมาเดินตลาดในตอนกลางวันเช่นนี้ ทำงานเสร็จก็กลับหมู่บ้านในทันที นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาเดินเที่ยวเล่นในตลาดเช่นนี้
ผิงมองไปรอบๆสายตาก็ไปสะดุดกับลูกกลมๆสีแดงเสียบไม้ ตนเคยเห็นในซีรี่ย์จีน แต่ไม่เคยลองของจริงเลยสักครั้ง ผิงหันไปกระตุกแขนเสื้อของคนข้างๆ โม่หยวนฟางเมื่อได้รับแรงสะกิดจากหย่งผิงก็ก้มมองเด็กน้อย ผิงชี้ไปยังร้านที่มีพ่อค้าขายพุทราเชื่อมยืนอยู่
"อยากกินหรือ?" โม่หยวนฟางเอ่ยถาม และได้คำตอบเป็นการพยักหน้าหงึกหงัก การกระทำเช่นนั้นช่างน่าเอ็นดูสำหรับโม่หยวนฟาง แต่ในสังคมคนจะมองว่า บุตรชายของเขาไร้มารยาท โม่หยวนฟางจึงเอ่ยสอน
"หากผู้ใหญ่ถามให้ตอบ ไม่ควรพยักหน้า ไม่เหมาะสม"
หย่งผิงอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าอยู่ๆตนจะถูกดุ แต่ที่โม่หยวนฟางบอกก็เป็นเรื่องจริง ผิงจึงเปิดปากพูด
"ขออภัย ข้าชินกับการไม่ต้องพูด ข้าอยากกิน"
โม่หยวนฟางอมยิ้มกับความเข้าใจอะไรง่ายๆทั้งยังไม่งอแงเช่นเด็กคนอื่น หรือแสดงความไม่พอใจออกมาและยังยอมขอโทษง่ายๆ แม่ทัพโม่ ยกมือลูบหัวหย่งผิงก่อนจะจูงมือเด็กน้อยไปที่แผงขายพุทราเชื่อม บอกกับพ่อค้าว่า เขาต้องการ พุทราเชื่อมสิบไม้ ผิงอ้าปากค้าง ตนไม่ได้ต้องการเยอะปานนั้นแค่อย่างลองสักไม้ แต่พอจะเอ่ยขัด คนสั่งก็จ่ายเงินไปเสียแล้ว พุทราเชื่อมสิบไม้อยู่ในมือของโม่หยวนฟาง ผิงส่ายหน้าน้อยๆกับความใจใหญ่ของบิดาหมาดๆ
'สิบไม้ใครจะกินหมด' คิดในใจ พอหันไปมอง ทหาร สี่คนข้างหลังก็เกิดความคิดขึ้นมา ตนขอพุทราเชื่อมจากโม่หยวนฟาง หยิบสองไม้ยื่นให้ทหารคนที่หนึ่งที่รับไปอย่างงงๆ ตามด้วยสองไม้ให้ทหารคนที่สอง คนที่สาม จนถึงคนสุดท้าย ในมือตนจึงเหลือพุทราสองไม้ ไม้หนึ่งให้ตน ไม้หนึ่งยื่นให้โม่หยวนฟาง
แม่ทัพโม่มองการกระทำของบุตรชาย อย่างอารมณ์ดี คราแรกตนตั้งใจชื้อให้อาผิง เพราะเจ้าตัวบอกอยากกิน ไม่คิดเลยว่า จะเอาไปแบ่งทหาร ทั้งยังแบ่งเขา
'แบบนี้ก็ดี'
ผิงเห็นโม่หยวนฟางมองตนอยู่ นึกว่าเขาคงไม่เข้าใจจึงอธิบาย
"ข้าแค่อยากลอง ท่านชื้อเยอะเกินไป กินไม่หมดหรอก ข้าทำเช่นนี้ ไม่โกรธ ใช่หรือไม่?"
ประโยคสุดท้าย ช้อนตาขึ้นถามเสียงเบา
ท่าทางน่าเอ็นดูเช่นนั้น ทำเอาใจทหารและบิดาบุญธรรมเกิดแรงสั่นไหว รู้สึกเอ็นดูเด็กตรงหน้ามากขึ้น มากขึ้น พวกตน ถูกชื้อไปเป็นคนของหย่งผิง เพียงพุทราไม้เดียวและความน่าเอ็นดูของเด็กน้อย
'นี่คือเด็กที่เป็นนักฆ่าจริงหรือ โอ้ เขาเหมือนเซียนน้อยที่พึ่งลงมาจุติบนโลกมนุษย์ ช่างบริสุทธิ์ขาวสะอาดเสียเหลือเกิน'
โม่หยวนฟางส่ายหน้าเร็วๆทั้งดึงร่างเล็กเขามากอด เอ่ยพูดอย่างอารมณ์ดี "ผู้ใดจะกล้าโกรธเจ้าล่ะ หืม เด็กน้อย"
พร้อมกับการพยักหน้าเห็นด้วยจาก นายทหารทั้งสี่ ราวฉากประกอบ
หลังจากถูกกอดถูกฟัดอยู่กลางถนนอยู่นานสองนาน จนผิงต้องถอนหายใจออกมา 'บุรุษพวกนั้นทำราวตน เป็นตุ๊กตา ซึ่งมันไม่ใช่' ผิงก็ได้มากินข้าวเสียที ร้านอาหารแสนใหญ่โต โม่หยวนฟางสั่งกับข้าวมาหลายอย่างจนเต็มโต๊ะ ผู้ร่วมโต๊ะในวันนี้มีผิงและนายทหารติดตามทั้งสี่ หย่งผิงกินอาหารไปเงียบๆทั้งยังไม่เลอะเทอะ จนโม่หยวนฟางอดประหลาดในใจ เหตุใดเด็กชาวบ้านผู้นี้จึงมีลักษณะนิสัยราวถูกอบรมมาอย่างดี ไม่พูดอันใดเวลากิน ทั้งยังเคี้ยวเบาอีกต่างหาก คิดสงสัยแต่ไม่ได้ถาม
'เอาเถอะ เด็กผู้นี้ไม่เหมือนเด็กคนอื่นอยู่แล้ว คงไม่แปลกมากไปกับเรื่องกินข้าว ดีเสียอีก ตนจะได้ไม่เสียเวลาสอน' เมื่อเอ่ยกับตนในใจแล้วก็เลิกสนใจหย่งผิง กลับไปกินอาหารต่อเงียบๆ
ผิงกินไปเยอะมาก เพราะอาหารอร่อยและตนก็หิวมากกินเสร็จก็วางตะเกียบ หยิบน้ำชาขึ้นดื่มเป็นอย่างสุดท้าย เสร็จก็หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดคาบอาหาร เงยหน้าขึ้นเห็นโม่หยวนฟางมองมาอย่างพินิจพิจารณาก็เอ่ยถาม
"มีอะไรสงสัยหรือ?" แม่ทัพโม่หลุดจากภวังค์ส่ายหน้าปฏิเสธ เอ่ยถามขึ้นแทน
"อิ่มแล้วใช่หรือไม่?"
"ใช่ขอรับ"
โม่หยวนฟางจึงส่งสัญญาณให้คนในร้านมาเก็บเงิน เสร็จทั้งหกก็พากันเดินออกจากร้าน เดินเล่นมาเรื่อยๆก็ถึงร้านผ้า โม่หยวนฟางจูงมือหย่งผิงเข้ามาในร้าน เอ่ยบอกกับแม่ค้าว่าต้องการชุดดีๆเจ็ดชุด แม่ค้า เข้ามาวัดตัวหย่งผิงเสร็จก็ไปจัดการนำชุด เจ็ดชุดมาให้ลูกค้า ชุดทั้งเจ็ดมีทั้งสีสันและโทนสีทึบแต่เนื้อผ้านั้นดีอย่างมาก โม่หยวนฟางให้หย่งผิงเป็นผู้เลือก ผิงจึงเลือกชุดโทนสีอ่อนและสีฉูดฉาดมาอย่างละสองชุด ส่วนที่เหลือเป็นโทนสีทึบ ชื้อชุดเสร็จก็ตามด้วยรองเท้า กว่าจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้า แต่หย่งผิงบอกว่ามีที่ต้องไป โม่หยวนฟางจึงมาด้วย และให้ทหารที่ติดตามมากลับไปก่อนพร้อมข้าวของเครื่องใช้
"เรามาทำอะไรกันที่นี่?" โม่หยวนฟางเอ่ยถามเมื่อมาหยุดที่ใต้ต้นไม้ในป่าใกล้ค่าย
"มาเอาของ"
"ของอะไรกัน?"
ผิงไม่ได้ตอบ จัดการลอยตัวขึ้นบนตนไม้ เพียงกระพริบตาก็กลับลงมา พร้อมห่อผ้าขนาดไม่ใหญ่นัก แม่ทัพโม่สงสัย ไม่ต้องให้ถาม หย่งผิงก็เอ่ยบอก ทั้งหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา ดูแล้วก็มากโขอยู่ หย่งผิงยื่นให้เขา
"ค่าพุทรา ค่าอาหาร ค่าของใช้ ข้าคืนให้ท่าน"
โม่หยวนฟางอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นบริเวณนั้น ถึงขนาดหย่งผิงทำหน้านิ่งก็ไม่สามารถหยุดหัวเราะได้ ผ่านไปครึ่งเค่อ ความอดทนของผิงเริ่มหมด แม่ทัพโม่จึงพยายามหยุดหัวเราะแต่บนหน้าก็ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
"อ้า~ ขออภัย ข้าไม่คิดว่าจะพบเจออะไรเช่นนี้ มันแปลก แปลกประหลาด"
หย่งผิงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง แต่ใบหน้าของเด็กน้อยยังคงนิ่งสนิท จนโม่หยวนฟางต้องหยุดยิ้มทำหน้าจริงจังเอ่ยพูด
"อาผิง ตอนนี้เจ้าถือเป็นครอบครัวของข้าแล้ว เรื่องเพียงเท่านี้ คนในครอบครัวไม่ควรกระทำ ข้าชื้อของให้เจ้า เพราะเจ้าเป็นลูกชายข้า เป็นหน้าที่ของบิดา เจ้าเข้าใจหรือไม่?"
จบประโยคยาวที่ชัดเจนและซึมลึกเข้าไปสู่ภายในจิตใจคนฟัง ผิงรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ก้มมองเงินในมือ ชักกลับ เงยหน้าเอ่ยเสียงจริงจังไม่แพ้กัน
"เข้าใจ....ขอรับ ขอบพระคุณ บิดา"
โม่หยวนฟางยิ้มกว้าง พยักหน้ารับ
"แบบนี้สิ คือสิ่งที่เหมาะสม"