บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 หนูตกถังข้าวสาร

บทที่ 4 หนูตกถังข้าวสาร

หลังจากที่ตอบตกลงไป ผิงก็ได้อาบน้ำและทำแผล เปลี่ยนชุดใหม่แต่ยังคงเป็นสีดำดังเดิมเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ผิงก็ถูกพาตัวมาที่กระโจมหลังหนึ่ง

เสียงแหวกกระโจมเข้ามาดึงคนที่อยู่ภายในให้หันมามองผู้มาใหม่ ท่านแม่ทัพโม่หยวนฟาง เดินเข้ามาและที่ตามมาด้านหลังเป็นเด็กผู้ชายคาดเดาอายุไม่ได้ เพราะตัวเด็กค่อนข้างสูง แต่ใบหน้ากลับอ่อนเยาว์ ราวเด็ก 9 ขวบ

ผิงเข้ามาก็กวาดตามองไปทั่วห้อง บุรุษร่างใหญ่ทั้งแก่และไม่แก่มองมาที่ตน มีทั้งสายตาสงสัยและเคลือบแคลงแต่มีสายตาหนึ่งที่มองมาอย่างเรียบเฉยแฝงแววเยาะเย้ยดังเดิม เจ้าของสายตานั้นก็คือ

‘ไอ้เด็กหน้าโหด ผู้ประทุษร้ายทำลายฟันน้ำนมที่ยังไม่ถึงเวลาหลุดของผิง’

ผิงจ้องเจ้าตัวกลับไปนิ่งๆเช่นกัน ตอนนี้ถือว่าเขาเป็นผู้ร่วมแผนการ ไม่ใช่นักโทษไม่จำเป็นต้องสนใจผู้ใด จ้องมาก็จ้องตอบ เยาะเย้ยมาก็เยาะเย้ยตอบ

‘หากไม่เห็นว่ามันจะเป็นการไม่รู้กาลเทศะละก็ รับรองได้เลยว่าผิงจะพุ่งเข้าไป กระชากคอมันจับทุ้มลงพื้น ต่อยสักหลายๆมัดให้ฟันมันหลุดอย่างที่มันทำกับเขา ดูจากอายุ ฟันแท้คงขึ้นเยอะแล้วสิ ดีล่ะ ฟันจะได้หลอไปตลอดชาติ’

ผิงคิดแค้นในใจ จนโม่หยวนฟางเอ่ยขึ้นนั่นล่ะเจ้าตัวจึงกลับมาสนใจกับความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า

“จากที่ทุกคนทราบ อ๋องโจหวางใช้แผนสกปรก จ้างนักฆ่ามาลอบสังหารข้า ดังนั้นข้าจะส่งนักฆ่ากลับไปสังหารเขากลับเช่นกัน ใครสาดน้ำโคลนมา ก็เอาน้ำโคลนที่เขาสาดมา สาดกลับอีกฝ่าย”

“เช่นนั้น ท่านแม่ทัพจะบอกว่า จะให้เจ้านักฆ่าผู้นี้กลับไปสังหารอ๋องโจหวางเช่นนั้นหรือ” โม่หยวนฟางพยักหน้า สายตาทุกคู่ต่างมองมาที่ผิงอย่างไม่ไว้ใจ ดูถูกดูแคลน ตามด้วยเสียงที่ไม่เห็นด้วยของหลายคน

“ข้าไม่ไว้ใจ มันอาจะหลอกตลบหลังเราก็ได้”

“ใช่ มันเป็นคนของอ๋องโจหวาง นกสองหัว คนเช่นนี้ท่านจะเชื่อใจหรือท่านแม่ทัพโม่?”

“ข้าไม่ใช่คนของอ๋องโจหวาง”

ผิงเอ่ยปฏิเสธคำกล่าวหาที่มันไม่เป็นจริง และคำที่ว่าตนเป็นนกสองหัว

‘หัวหน้าขับไล่ไสส่งตนออกจากกลุ่มแล้ว ถือว่าเขาจะรับงานหรือทำข้อตกลงกับใครก็ได้ ไม่ใช่นกสองหัว หมาสองหาง’

ทุกคนในห้องยังมองผิงด้วยสายตาเหยียดหยามเช่นเดิม ผิงเห็นเช่นนั้นก็ไหวไหล่ พยักพเยิดให้โม่หยวนฟางเป็นผู้จัดการแทนส่วนตนเองก็หันซ้ายหันขวา มองเห็นเก้าอี้ที่มุมหนึ่งของห้อง ก็เดินไปนั่ง มีกาน้ำชาและถ้วยชาพร้อมของว่างวางอยู่ที่โต๊ะ ผิงก็จัดการเทชาให้ตน ยกขึ้นจิบ หลับตาซึมซับรสชาติและความรู้สึกที่ห่างหายมานาน

‘อ่า….ความรู้สึกที่แสนคิดถึง’

ผิงยกขาขึ้นไขว่ห้างอย่างที่เคยทำ มือหนึ่งหยิบขนมขึ้นมากิน ไม่คิดสนใจฟังการถกเถียงที่อยู่ตรงนั้น

การกระทำทุกอย่างของผิงอยู่ในสายตาของคนผู้หนึ่ง ขุนพลเยี่ยอวิ๋นเฉินลอบพิจารณาเด็กนักฆ่าไปเงียบๆ เขาก็ไม่คิดจะสนใจการถกเถียงของเหล่าขุนพลวัยชราเช่นเดียวกับอีกคน

“ก็อย่างที่ เขาบอก เขาไม่ใช่คนของอ๋องโจหวาง อยากให้ทุกท่านทราบว่า เขาเป็นเพียงเด็กที่อายุเพียง 9 ขวบ ที่ถูกชื้อไปอยู่ในกลุ่มนักฆ่า และภารกิจนี้เป็นการกิจทิ้ง จะทำสำเร็จหรือไม่ เขาก็จะไม่ได้กลับไปในกลุ่มนักฆ่าอีก ดังนั้นถือว่าตอนนี้ เขาเป็นเพียงคนเร่ร่อนดังนั้น เขาไม่ใช่นกสองหัว และก็ไม่ผิดอันใดที่จะรับงานจ้างจากพวกเรา”

โม่หยวนฟางกล่าวยืดยาวแต่ทุกประโยคล้วนสั้นกระซับ แม่ทัพหนุ่มมองทุกคนที่เริ่มคลายความกังวลบ้างแล้ว แต่แน่นอน คำเพียงเท่านี้ไม่สามารถทำให้ผู้ใดยอมรับได้เพราะเช่นนั้น….

“แต่ความน่าสงสารของเด็กผู้นี้ไม่สามารถเป็นสิ่งที่เชื่อได้ว่าเขาจะไม่ทรยศและเพราะแบบนั้น ข้าจะให้ขุนพล เยี่ยอวิ๋นเฉินไปคุมการทำงานของเขาในครั้งนี้”

“ว่าอย่างไรนะ!” ผู้ที่เงียบมาตลอดถึงกลับหลุดมาดเมื่อได้ยินว่าตนต้องไปคุมเจ้าเด็กสวะนี่

“ตามที่ท่านได้ยินขอรับ ท่านขุนพล” โม่หยวนฟางหันมายืนยันสิ่งที่ตนตัดสินกับเยี่ยอวิ๋นเฉินที่ ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก พอมองไปรอบๆทุกคนก็ต่างมองมาที่ตนราวเห็นด้วย ทั้งยังฝากฝังเสียดิบดี

“หากเป็นเช่นนั้นข้าก็วางใจ ฝากด้วยนะ ขุนพลเยี่ย”

“นี่ถือเป็นงานสำคัญ ข้าไว้ใจขุนพลเยี่ย”

ทุกเสียงต่างลงมติเป็นเอกฉันท์ ทำให้ เยี่ยอวิ๋นเฉินไม่มีโอกาสได้ปฏิเสธ พอมองเจ้าของแผนการที่นั่งยิ้มกริ่ม เขาก็รู้สึกโมโหขึ้นมา คิดในใจว่า

‘ไม่น่าวางแผนช่วยแม่ทัพเจ้าเล่ห์นี่เลย น่าจะปล่อยให้โดนฆ่าตายไปเสียก็สิ้นเรื่อง’

“หลิง” โม่หยวนฟางเอ่ยเรียกคนที่นั่งดื่มชาไม่ได้สนใจสิ่งใด ผิงที่ถูกเรียกก็เข้าใจว่า การหารือคงเสร็จสิ้นแล้วจึงวางถ้วยชาลงลุกขึ้นเดินมายังโต๊ะประชุมอีกครั้ง โม่หยวนฟางเห็นหลิงมายืนข้างตนแล้วจึงอธิบายภารกิจคร่าวๆให้เจ้าตัวฟัง

“เจ้าต้องไปสังหาร อ๋องโจหวาง ให้เวลาหนึ่งเค่อ เมื่อสังหารเสร็จให้กลับมาที่ค่าย ห้ามให้คนฝั่งนั้นจับได้ว่าเจ้าเป็นคนของผู้ใด ต้องใช้วิธีที่เจ้าไม่นิยมใช้ฆ่า ต้องทำเหมือนเจ้าไม่ใช่ผู้สังหาร”

‘วิธีที่ผิงไม่ใช้ฆ่า’ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ใบหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมาในทันที ผิงรีบสลัดความรู้สึกอ่อนแอที่เป็นอยู่ออกไป โม่หยวนฟางเห็นว่าเด็กตรงหน้าเข้าใจแล้ว ก็ดึงมีดสั้นของตนออกมามอบให้ ผิงลังเลเล็กน้อยจนจับสังเกตไม่ได้ก่อนจะรับมีดสั้นนั้นมา เหน็บไว้ข้างเอว

“คนที่ไปกับเจ้าคือ ขุนพลเยี่ยอวิ๋นเฉิน” ผิงพยักหน้าไม่มีปัญหา เข้าใจว่าอย่างไรพวกเขาต้องหาคนมาคุมตนอยู่แล้ว

ใช่ไม่มีปัญหาเพราะไม่รู้ว่าขุนพลที่ว่าคือเจ้าเด็กหน้าโหดที่ทำฟันตนหลุด

สองร่างยืนท้าลมอยู่บนหลังคาวังของอ๋องโจหวาง เด็กชายทั้งสองใบหน้าเรียบเฉย แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความหงุดหงิด

ผิงไม่รู้ว่าควรโทษผู้ใด ไอ้คนข้างๆหรือ ไอ้แม่ทัพเจ้าเล่ห์นั่น

“อย่าขัดแข้งขัดขา” ผิงเอ่ยขึ้นพลางดึงผ้ามาปิดหน้า งานนี้เป็นผลงานของตนเพียงผู้เดียว อย่าหวังว่าไอ้ขุนพลเวรตะไลจะแย่งไปได้

เยี่ยอวิ๋นเฉินปรายตามองไอ้เด็กสวะอย่างเย็นชา คิดในใจ

‘เขาหรือจะลดตัวลงมาทำงานชั้นต่ำเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะคำสั่งคงไม่ลดตัวมากับเจ้านักฆ่าสวะนี่เด็ดขาด’

ผิงไม่รอฟังอีกคนตอบรับ เมื่อเตรียมการเรียบร้อยก็โรยตัวลงจากหลังคาลงสู่พื้นดิน เยี่ยอวิ๋นเฉินมองตามพลางนั่งลงกับกระเบื้องหลังคา ตนไม่ต้องตาม สายตาเขากว้างไกล หากมันคิดเล่นไม่ซื่อ ก็เชือดมันแล้วค่อยไปเชือดอ๋องเจ้าปัญหานั่น

ผิงลัดเลาะไปตามความมืดในค่ำคืนนี้ วังก็สมเป็นวัง คบเพลิงถูกจุดจนสว่างไปทั่ว แต่สำหรับนักฆ่าอย่างผิงมันเป็นปัญหาน้อยนิด หากใครที่ดูขัดขวางการทำงานของตน เจ้าตัวก็ดีดเข็มยานอนหลับใส่และลากไปซ่อน ผิงสวมชุดของทหารองครักษ์ทับชุดของตน เดินออกมาจากที่หลบตรงไปยังห้องนอนของอ๋องโจหวาง งานนี้ดียิ่งนักไม่ต้องหาเป้าหมายด้วยตัวเอง ถือว่าข้อมูลที่ทัพฉีมี ค่อนข้างมากเลยทีเดียว

‘ฮึ คนมากมายต้องตาย แต่ไอ้เลวนี่กลับหลับสบายใช้ชีวิตสงบสุข’

ผิงได้ยินเสียงหอบครางทั้งหญิงและชายดังมาจากในห้อง มือทั้งสองข้างกำมีดสั้นแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่ตนจะสังหารคนด้วยดาบ ด้วยความเต็มใจ แด่รองหัวหน้าที่เสียชีวิต แด่สือที่ตายไป

ประตูถูกเปิดออกอย่างแรง จนทั้งสองร่างบนเตียงหยุดเคลื่อนไหวกิจกรรมที่ทำกันอยู่ ฝ่ายหญิงตั้งท่าจะร้องกรี๊ดแต่ผิงดีดเข็มพิษปักลงกลางหน้าผากของนางเสียก่อน อ๋องโจหวางตกตะลึง ขยับไปหยิบกระบี่ข้างเตียงแต่ไม่ทัน ผิงขว้างกริชปักลงที่มือนั้นเสียก่อน อ๋องโจหวางอ้าปากร้องแต่ไร้เสียงเมื่อเจ้ามือสังหารหายตัวมาปิดปากตน ภายใต้ผ้าปิดหน้าสีดำ ที่โผล่มาแค่ดวงตาฉายแววเหี้ยมเกรียมเป็นครั้งที่สองหลังจากผ่านมาเนิ่นนาน ครั้งแรกเมื่อตอนอายุ 5 ขวบ ผิงไม่ให้เวลาเดินไปอย่างเปล่าประโยชน์ไม่รอให้ทหารตั้งตัวได้มาจับกุมตน เงื้อมือข้างที่มีมีดสั้นขึ้นสูงก่อนจะปักลงที่หน้าอกข้างซ้ายของอ๋องโจหวางอย่างแรง ร่างบุรุษกระตุกหนึ่งครั้งก่อนจะสิ้นใจตายเวลาต่อมา ผิงดึงมีดออก เก็บเข้าฝัก ไม่คิดเช็ดทำความสะอาดอันใด เพราะมันไม่ใช่มีดตน นับดูเวลาคร่าวๆว่าใกล้หมดแล้ว จัดการถอดชุดออกจากตัว พุ่งออกจากห้องลอยขึ้นหลังคา เห็นไอ้เด็กหน้าโหดรออยู่ก่อนแล้ว ผิงโยนมีดสั้นโชกเลือดให้มันแล้วใช้วิชาตัวเบากลับไปทางค่าย

คืนนั้น หลังกลับมาที่ค่ายผิงก็ถูกขังเช่นเดิม แต่ขังไว้ในกระโจมของโม่หยวนฟาง ตนตัดสินใจหลับตาลงเพื่อพักผ่อน ทั้งร่างกายและความรู้สึก

โม่หยวนฟางแหวกกระโจมเข้ามา หลังจากเข้ารุ่งสางแล้ว เมื่อคืนตนนำทัพเข้ายึดวังของอ๋องโจหยาง การศึกในครั้งนี้ชนะมาอย่างง่ายได้ พร้อมได้เมืองจ๋ายมาเป็นของแคว้นฉี อ๋องโจหวางตายแล้วตอนพวกเขาไปถึงพอดี ซึ่งตนทราบดีว่าเป็นฝีมือใคร

โม่หยวนฟางเหลือบมองร่างของเด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียงของตน เจ้าตัวยังคงอยู่ในชุดเดิม ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด ไม่เข้าใจทำไมไม่ล้างออก โม่หยวนฟางเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ พอมองดีๆแล้ว เด็กนี่หน้าตาดีอย่างมาก ผิวพรรณขาวผ่อง นวลเนียนอย่างไม่ใช่เด็กกำพร้าทั่วไป พอคิดถึงดวงตาที่เย่อหยิ่งน้อยๆ กับลักษณะที่แตกต่างจากเด็กทั่วไปทำให้โม่หยวนฟางอมยิ้มขึ้นมา

“เจ้าทำงานสำเร็จและเป็นเด็กดี ข้าจะทำตามสัญญา” พูดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าหมายเช็ดคราบเลือดออกจากใบหน้าของเด็กน้อยแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่ออยู่ๆเด็กตรงหน้าก็ละเมอออกมาพร้อมน้ำตาหยดหนึ่งไหลจากทางหางตา

“ข้าขอโทษ ไม่อยากฆ่า ไม่อยากฆ่า”

ใจแม่ทัพสั่นวูบ ดวงตาคมฉายความสงสารออกมา

‘จริงสินะ เด็กเพียงเท่านี้จะมีความสุขได้อย่างไรเมื่อต้องฆ่าคน’

โม่หยวนฟางเอื้อมมือลูบผมเด็กน้อยเบาๆพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้เจ้าตัวไปด้วยเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“มันเป็นเพียงฝันร้าย หากเจ้าตื่น เจ้าจะพบกับฝันดีไปตลอดกาล”

รุ่งเช้าที่แสนสดใส แสงแดดสาดส่องลงมาจากท้องฟ้า ปัดเป่าความหมองเศร้าให้จางหาย รวมทั้งความเหนื่อยล้าที่สะสมมาเนิ่นนานด้วยเช่นกัน

ร่างน้อยบนเตียงใหญ่พลิกตัวมาอีกข้าง ก่อนจะลืมตาขึ้นเมื่อม่านตาปรับแสงได้แล้ว ดวงตาเรียวคมสวยกวาดมองไปทั่วสถานที่ พลางยึดตัวบิดขี้เกียจ

ความรู้สึกตื่นมาแล้วสดชื่นแบบนี้

ทั้งความรู้สึกว่าตัวเบาสบายเช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่มาเยือนโลกแห่งนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ผิงรู้สึก ทั้งความสงบใช้ชีวิตแบบเชื่องช้าเช่นนี้ทำให้ผิงรู้สึกไม่ชินเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดี

ร่างสูงแต่ผอมบางอย่างคนยังไม่โตเต็มที่ หย่อนขาลงจากเตียง สวมรองเท้าแล้วลุกขึ้นเดินออกจากกระโจม

ไม่รู้ว่านี่ยามใดแล้ว แต่ที่แน่ๆ ผิงรู้สึกหิวเหลือเกิน แต่หากจะเดินดุ่มๆเข้าไปขออาหารคงไม่ดีนัก หรือจะออกไปหากินเองข้างนอกค่าย ก็อาจจะโดนกักตัวไว้ คนที่ช่วยเหลือเรื่องปากท้องได้เห็นแต่จะมีแค่ โม่หยวนฟาง

ผิงเดินไปพลางกวาดตามองหาโม่หยวนฟาง บุรุษหนึ่งเดียวที่ดูเป็นพันธมิตรกับตนที่สุด ดูได้อย่างไรน่ะหรือ ก็สังเกตจากสายตาทหารที่มองมาที่ตนราวเป็นหมาจรจัดนั่นสิ

"ไง ไอ้นกสองหัว!"

'เยี่ยม! ออกมาปุบ ก็มีคนหาเรื่องปับ'

คราแรกผิงตั้งใจจะไม่สนใจ หากเจ้าพวกนั่นไม่เดินมากันทางตนเสียก่อน บุรุษร่างใหญ่สี่คน เข้ามาล้อมตัวผิงไว้เป็นวงกลม

'อ่า~ทหารจะรังแกประชาชน'

ไม่พอ คนอื่นเมื่อเห็นมีคนเริ่ม ก็ตามกันมาจนตอนนี้ผิงถูกทหารนับสิบล้อมตนไว้ 'หือ เอางี้เลยเหรอ'

"เรียกแล้วทำไมไม่ตอบวะ ไอ้นกสองหัว!" บุรุษคนเดิม ตะคอกใส่ผิง ตามด้วยอีกคนเข้ามาผลักร่างทำให้ผิงเสไปเล็กน้อย ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ผิงไม่ได้รู้สึกโมโห แต่เหมือนคนที่อยากให้ตนโมโหกลับโมโหขึ้นแทน

บุรุษร่างยักษ์คนเดิมพุ่งเข้ามากระซากคอเสื้อ มืออีกข้างที่ว่าง เงื้อขึ้นสูง เสียงรอบข้างเฮลั่นทั้งร้องยุยงส่งเสริม

"ต่อยมันเลย จัดการมันเลย"

"เอามันให้เลิกจองหอง!"

ชายผู้นั้นเมื่อได้รับคำยุยง ส่งเสริมก็ฮึกเหิม เตรียมปล่อยหมัดใส่ร่างเล็ก แต่ก่อนที่หมัดจะถูกชกลงมาบนหน้าขาวของคนตัวเล็กกว่า คนตัวใหญ่ก็หยุดชะงักเมื่อได้สบเข้ากับสายตาเย็นเยียบจนรู้สึกขนลุก อยู่ๆเขาก็รู้สึกตัวสั่นขึ้นมา หมัดยังเงื้อค้างไม่ได้ต่อยลงมา แต่มือยังกำคอเสื้อไว้แน่น ผิงยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งเอ่ยประโยคที่ทำเอาชายหนุ่มถึงกับแข็งทื่อ

"พึ่งรู้ว่าการมาเป็นทหาร มีเพื่อระรานคนไปทั่ว เพียงเพราะรู้สึกไม่ชอบ สมเกียรติแล้วหรือ หรือคิดว่าหน้าที่การงานมีเพียงเอาไว้โอ้อวดแต่ภายในไร้จิตสำนึก"

'เจ็บ ' ทหารหนุ่มรู้สึกเจ็บเจ็บกับคำต่อว่านั้น เจ็บยิ่งกว่าถูกมีดบาดเสียอีก ผิงแกะมือคนที่กุมคอเสื้อตนออก ผลักร่างใหญ่ จนล้มลงกับพื้น กวาดมองทุกคนที่ล้อมตนอยู่ เอ่ยพูดขึ้น

"เป็นถึงทหาร อย่าทำตัวราวนักเลงข้างทาง"

จบประโยคที่ทำเอาสะอึก ตัวแข็งทื่อไปทุกคน ผิงก็เดินออกจากวงล้อม ที่ยอมถอยให้แต่โดยดี เดินออกมาแล้วก็ต้องหงุดหงิดเมื่อเห็นใครยืนกอดอกอมยิ้มมองมาทางตน แต่ที่รู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้นเห็นจะเป็นไอ้เด็กหน้าโหด ที่มองเขามานิ่งๆ แฝงแววเยาะเย้ยเช่นเดิม

'เกลียดมัน'

"เห็นแล้วเหตุใดไม่ช่วย?" ผิงเอ่ยถามเมื่อเดินมาถึงตัวโม่หยวนฟางแล้ว แม่ทัพหนุ่มเลิกคิ้วข้างหนึ่งเอ่ยตอบ

"เพราะข้ารู้ว่าเจ้าต้อง จัดการได้"

ผิงทำหน้านิ่งเป็นการบอกว่าไม่พอใจ โม่หยวนฟางเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ รวบตัวคนตัวเล็กพาเดินเข้าไปในกระโจม ผิงสะบัดตัวออกเมื่อคนตรงหน้าถึงเนื้อถึงตัว

'สนิทกันเมื่อไหร่?'

โม่หยวนฟางเข้าใจคำถามทางสายตานั้น จึงเอ่ยตอบ แต่คำตอบนี่สิ ทำเอาคนได้รับถึงกับหลุดหน้านิ่งอ้าปากค้าง อุทานลั่นกระโจม

"สนิทสิ ข้าเป็นบิดาเจ้านะ"

"ว่าไงนะ!"

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel