บทที่ 7 ชีวิตในการเป็นคุณชาย
บทที่ 7 ชีวิตในการเป็นคุณชาย
เข้าวันที่สองของการมาอยู่ที่สถานที่แห่งใหม่ สภาพแวดล้อมใหม่ๆ และสถานะใหม่ ผิงถูกปลุกให้อาบน้ำแต่งตัวแต่เช้า พอทานมื้อเช้าเสร็จ ทั้งหย่งผิงและโม่หยวนฟางก็ขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางไปยังที่ ที่ได้นัดหมายกันไว้ เมื่อวาน
รถม้าสีดำหรูหราสมฐานะทางตระกูลเคลื่อนเข้ามาในค่ายทหารสกุลเยี่ย ทหารเฝ้ายามเมื่อเห็นว่าเป็นรถม้าของผู้ใดก็ยืนตรงรีบเปิดทางให้รถม้าเข้าไปทันที
รถม้าหยุดเคลื่อนไหวเมื่อเข้ามาถึงภายในค่ายแล้ว สองร่างแต่ต่างวัยพากันลงจากรถม้ามายืนบนพื้น ผิงกวาดตามองรอบๆอย่างเคยชิน ภายในค่ายทหารสกุลเยี่ยเต็มไปด้วย ทหารมากมาย พวกเขาเหลือบมามองผู้มาใหม่แล้วก็หันกลับไปทำกิจของตนต่อ จากที่บิดาบุญธรรมของตนเล่าให้ฟังเมื่อวานว่า สกุลเยี่ยนั้นเป็นตระกูลเก่าแก่ บรรพบุรุษของตระกูลร่วมสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับองค์จักรพรรดิพระองค์แรกที่รวบรวมเมืองต่างๆและก่อตั้งแคว้นฉีขึ้นมา สกุลเยี่ยจึงเป็นตระกูลที่มีอำนาจมากในแคว้นฉี บรรดาทหารและค่ายทหารต่างๆส่วนมากก็เป็นของตระกูลเยี่ย แม้ภายหลังผู้นำทัพจะผลัดเปลี่ยนไปเป็นของผู้อื่น แต่อำนาจทางทหารของตระกูลเยี่ยก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะ ผู้นำรุ่นที่ห้าของตระกูลเล็งเห็นว่าอำนาจนั้นไม่เที่ยงธรรม จึงจัดตั้งโรงเรียนทหารขึ้นมาโดยใช้ค่ายใหญ่สกุลเยี่ยเป็นโรงเรียน บรรดาบุตรขุนนาง แลไปถึงเหล่าราชนิกุลทั้งหลายต่างก็ต้องผ่านการเล่าเรียนฝึกฝนจากที่แห่งนี้ด้วยกันทั้งนั้น เรียกได้ว่าเป็นสำนักสถานศึกษาที่ขึ้นชื่ออย่างมาก ศิษย์ที่จบไปก็ล้วนเป็นคนใหญ่คนโต และบุคคลสำคัญของแคว้น โม่หยวนฟาง ก็เป็นหนึ่งในนั้น ว่ากันว่า หากเก่งกาจมากมาก หลังจบการศึกษาหรือยังไม่จบแต่มีแววเก่งกาจ เหล่าผู้นำทัพก็อาจดึงตัวไปทำงานในทัพได้ ยกตัวอย่างเช่น ขุนพลเยี่ยอวิ๋นเฉิน ที่ถูกดึงตัวไปร่วมรบในศึกที่ผ่านมาจนตอนนี้เขามีศักดิ์เป็นถึงนายกองลำดับขั้นขุนนางที่สาม แม้ยังไม่จบการศึกษาและยังอายุน้อยที่สุด
ตอนฟังที่บิดาบุญธรรมเล่านั้น ผิงก็คิดแขวะในใจ ‘ชาติตระกูลดี สภาพแวดล้อมดี หน้าตาดี นำพาไปยังที่ดีๆและกลายเป็นคนใหญ่คนโตอย่างง่ายดาย เหอะ’
กลับมาที่ปัจจุบัน
โม่หยวนฟางพาหย่งผิงเข้ามาที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเหมือนคฤหาสน์ไม้หลังใหญ่ที่มีทหารเดินสวนกันไปมา ตลอดทางทุกคนจะหยุดทำความเคารพโม่หยวนฟาง ก็เข้าใจว่า บิดาบุญธรรมนั้นเป็นผู้นำทัพปัจจุบันในตอนนี้ ก็ไม่แปลก แต่มันเสียเวลาไปมากโข เพราะผิงก็ต้องหยุดและแนะนำตนเองกับคนเหล่านั้น
ในที่สุด การเดินทางที่แสนยาวนานก็สิ้นสุดลงยังห้อง ห้องหนึ่ง หน้าห้องมีทหารสองนายยืนเฝ้าอยู่และเช่นเดิม เมื่อพวกเขาเห็นโม่หยวนฟางก็ยืนตรงทำความเคารพและเปิดประตูให้เข้าไป ผิงโค้งศีรษะให้ทหารทั้งสองแล้วก็เดินตามโม่หยวนฟางเข้าไปด้านในห้อง
ห้องขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือที่มีหนังสือมากมายอัดแน่น อยู่บนนั้น ตรงกลางห้อง มีโต๊ะทำงานที่ทำด้วยไม้ดูหรูหรา มีบุรุษในวัยกลางคนร่างสูงนั่งอยู่ เขาเงยหน้าจากเอกสารบนโต๊ะขึ้นมอง เผยให้เห็นใบหน้ารูปสลัก ริมฝีปากคลี่ยิ้มแต่ดวงตาฉายความกดดันยามจับจ้องมาที่ ผิง
‘ในค่ายทหารมักมีแต่คนแบบนี้หรือไร’ ผิดคิดในใจ
“คาราวะ ท่านอาจารย์”
โม่หยวนฟางประสานมือคุกเข่าลงคำนับ ผิงทำตาม แต่ไม่ได้เอ่ยออกมาอย่างบิดาบุญธรรม
“ลุกขึ้นเถิด ท่านแม่ทัพโม่” ชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นเป็นเชิงอนุญาต โม่หยวนฟางและหย่งผิงจึงลุกขึ้น
“เชิญนั่ง” ชายหลังโต๊ะทำงานภายมือไปที่เบาะนุ่มตรงข้ามเป็นการบอกให้คนทั้งสองนั่งลงตรงนั้น
“ขอบพระคุณขอรับ” โม่หยวนฟางกล่าวพลางเดินไปนั่งลงกับเบาะไม่ลืมสะกิดหย่งผิงให้ตามมา
เมื่อนั่งกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โม่หยวนฟางจึงเอ่ยพูด
“ข้านำ บุตรชายมาฝากตัวเป็นศิษย์ขอรับ”
เยี่ยฟง หันมามอง บุตรชายของแม่ทัพโม่ สำรวจอย่างละเอียด ผิงที่ถูกจับจ้องราวจะค้นหาก็รู้สึกอึดอัด แต่พยายามไม่หลบตา แม้ภายในใจจะสั่นน้อยๆก็ตาม
เยี่ยฟงลอบยิ้มเพียงครู่ก็หุบยิ้มหันไปกล่าวกับแม่ทัพโม่
“ค่ายทหารสกุลเยี่ย เป็นสถานที่ให้การศึกษาแก่เหล่าคุณชายน้อยทั้งหลายอยู่แล้ว ข้าคงไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งแม่ทัพใหญ่โม่หยวนฟางเป็นผู้นำมาเองเช่นนี้ คงไม่ต้องให้ทดสอบอันใด เอาเป็นว่าข้าจะให้ คุณชายโม่เข้าไปเล่าเรียนกับเหล่าคุณชายลำดับหนึ่งแล้วกัน”
ผิงคล้ายรู้สึกคิ้วกระตุกกับคำกล่าวของคนตรงหน้า ทั้งรู้สึกว่า บิดาบุญธรรมใช้เส้นสายในทางไม่ชอบยิ่ง สรุปง่ายๆให้ความรู้สึกว่าถูกด่านั่นเอง และไม่ทราบว่าตนควรสลดหรือไม่ และเหมือนจะมีคนหาทางออกให้แล้ว
“ขอบคุณท่านอาจารย์ ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้นขอรับ อย่างไรฝากดูแล หย่งผิงด้วยนะขอรับ”
บิดาบุญธรรมยิ้มรับหน้าชื่นตาใสอย่างยิ่ง อ่า ตนควรจะทำเช่นนั้นด้วยใช่หรือไม่
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์ขอรับ”
‘เหอะ เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย’ เยี่ยฟงค่อนขอดว่าในใจ
เมื่อตกลงธุระกันเสร็จสิ้น พ่อลูกตระกูลโม่ก็ขอตัวลากลับ เยี่ยฟงรีบโบกมือไล่ ด้วยรู้สึกเหม็นหน้าเหล่าตระกูลใหญ่ยิ่งนัก แม้ตนก็มาจากตระกูลใหญ่เช่นกัน ใหญ่ที่สุดด้วย เยี่ยฟงได้แต่ภาวนาให้ โม่ หย่งผิงเป็นคุณชายน้อยที่เอาไหน มิใช่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่เช่นนั้น ค่ายทหารสกุลเยี่ยคงเสียชื่อไม่น้อย
บนรถม้า
ผิงนั่งเงียบมาตลอดทาง จนโม่หยวนฟางสังเกตได้ แม้หย่งผิงจะเป็นคนเงียบขรึมอยู่แล้ว แต่ความเงียบก็มีหลากหลายแบบ หลากหลายระดับ เงียบอย่างกดดันเช่นนี้แปลได้ว่าเจ้าตัวคงมีเรื่องติดอยู่ในใจและไม่กระจ่าง พอลองคิดดูว่า หย่งผิงมีเรื่องอะไรติดอยู่ในใจ คิดเท่าไหร่แม่ทัพผู้มากความสามารถก็นึกไม่ได้ จึงตัดสินใจเอ่ยถามออกไป
“มีเรื่องอะไรหรือไม่?” ผิงหันมาหา บิดาบุญธรรม เอ่ยตอบ
“เหตุใดท่านจึง ใช้เส้นสายในทางมิชอบ ท่านไม่เชื่อมั่นในฝีมือข้าหรือ”
โม่หยวนฟางอ้าปากค้าง ด้วยนึกไม่ถึงว่า หย่งผิงจะติดใจในเรื่องนี้
“เรื่องนั้น มันก็เป็นปกติของการเป็นตระกูลใหญ่ ไม่มีตระกูลใหญ่ที่ใด ให้บุตรตนทดสอบเข้าไปเองกันหรอก เสียเวลา”
แม้เป็นเหตุผลที่ไม่น่าฟังนัก แต่หย่งผิงก็ไม่ได้คัดค้านหรือดื้อแพร่งจะไปทดสอบเอง ที่ติดใจเพราะไม่เข้าใจ เมื่อได้รับความกระจ่างแล้วก็ไม่คิดติดใจอันใด แต่เหมือนอีกคนจะคิดไปอีกทาง โม่หยวนฟางคิดว่าตนถูกลูกชายโกรธเข้าให้แล้ว แต่จะไปกลับคำหรือเปลี่ยนให้หย่งผิงไปทดสอบเองก็ไม่ได้ จึงหาวิธีมาง้องอน ลูกชายตน
“เถอะน่า อาผิง อย่าติดใจไปเลย บิดาว่า เราไปเลือกซื้อของกันดีกว่า แม้ในค่ายสกุลเยี่ยจะมีอาวุธครบครันแต่ อย่างไรก็ต้องหาอาวุธประจำกายไว้บ้าง เจ้าอยากได้แบบใด บิดาจะชื้อให้” กล่าวจบก็ยิ้มกว้าง ดึงร่างบุตรชายเข้ามากอดแอบคิดในใจว่า
‘อาผิงช่าง ตัวนุ่มนิ่มจริงๆ’
หย่งผิงไม่ทราบความใน ในการเอาใจของบิดาบุญธรรม จึงไม่ได้แก้ต่างหรือคัดค้าน
เข้าวันที่สาม ผิงตื่นมาตั้งแต่ฟ้าสาง อาบน้ำแต่งกายเตรียมตัวไปค่ายทหารที่เปรียบเสมือนโรงเรียนที่ได้ไปเยือนมาเมื่อวานนี้ เรียกได้ว่า เป็นการเข้าเรียนที่ฉุกละหุกเหลือเกินแต่สำหรับในยุคโบราณเช่นนี้ คงไม่แปลกอะไรกระมัง
ผิงยืนมองตนเองในกระจก ร่างสูงในวัย 9 ขวบ ในชุดสีน้ำเงินเข้มหรูหรา สมฐานะทางตระกูล ผมถูกเกล้าเป็นมวยปักด้วยปิ่นสีทอง เผยให้เห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลา ขาวใสสะอาด ในกระจก ทุกสิ่งในตัวเด็กคนนี้นั้นลักษณะไม่ต่างจากเด็กผู้ชายเลยแม้แต่น้อย บางทีผิงก็ไม่เข้าใจว่า ถ้าจะให้เหมือนผู้ชายขนาดนี้ ทำไมไม่ให้เป็นผู้ชายไปเลย อะไรๆคงจะง่ายกว่านี้ ไม่ต้องคอยมาระแวดระวังว่าความลับจะแตกเข้าสักวัน ไม่อยากจะคิดเลยว่า หากมีผู้ใดล่วงรู้ว่าตนเป็นสตรีหาใช่บุรุษเพศอย่างที่เข้าใจกัน ชีวิตตนจะเป็นอย่างไร ในยุคนี้ หากไม่เป็นหญิงคณิกา ก็อาจกลายเป็นทาสอยู่ที่ใดสักแห่ง หรือไม่หากหน้าตาดีขึ้นหน่อย คงได้เป็นอนุในจวนเศรษฐีแก่ๆสักจวน เช่นหญิงสาวที่ตนเคยเห็นยามไปลอบฆ่า ซึ่งผิงก็เดาไม่ได้เลยว่า หน้าตาเด็กผู้นี้จะงดงามหรือไม่ เพราะดูจากลักษณะที่เหมือนเด็กผู้ชายอย่างแยกไม่ออกเช่นนี้ ยิ่งเติบโต ใบหน้ายิ่งคมขึ้น หาความอ่อนหวาน น่ารักเช่นเด็กผู้หญิงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หากได้เป็นสตรีขึ้นมา คงน่าสงสารแย่
คิดมาถึงตรงนี้ผิงก็ส่ายหัวเบาๆสลัดความกังวลออกไป ปรับสีหน้าให้เป็นปกติและพร้อมต่อการไปศึกษาเหล่าเรียนในวันนี้ สังคมที่แปลกใหม่ ไม่รู้ว่าตนจะวางตัวได้ดีหรือไม่ ไม่รู้ว่าวันนี้จะพบเจออะไรบ้างบรรดาคุณชายทั้งหลายนิสัยก็คงจะเสียไม่น้อยเพราะถูกตามใจมามาก และตนเป็นเพียงเด็กถูกเก็บมาเลี้ยง คงได้รับการต้อนรับที่ไม่ได้ดีนัก บางทีอาจไม่มีใครเข้าหาเลยก็เป็นไปได้ ดังนั้น ต้องรวบรวมความเข้มแข็งไว้ให้ตัวเองมากๆ
‘ชั่วชีวิตนี้ไม่คิดเลยว่าต้องมีวันกลับไปเรียนอีกครั้ง’
“นายน้อย รถม้าเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่อยู่นอกห้องร้องบอก ผิงตอบรับสั้นๆ หันมามองตนในกระจกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินไปหยิบกระบี่สีดำที่โม่หยวนฟางชื้อให้เมื่อวาน แล้วพาร่างออกมาจากห้อง
เดินออกมาหน้าเรือนก็พบเข้ากับโม่หยวนฟางบิดาบุญธรรมยืนอยู่ ผิงหยุดลงเบื้องหน้า โค้งกายทำความเคารพบิดาบุญธรรม
“คาราวะ บิดาขอรับ”
โม่หยวนฟางพยักหน้ารับ เอ่ยถาม
“เจ้าอยากให้บิดาไปส่งเจ้าหรือไม่?”
ผิงเงยหน้าขึ้นมองโม่หยวนฟาง ว่าสิ่งที่เขากล่าวมานั้นถามจริงหรือเพียงแค่เย้าตนเล่น แต่พอเห็นใบหน้ารูปงามเต็มไปด้วยความจริงจังก็ทราบว่าเขาอยากทราบจริง ความเป็นห่วงที่ฉายออกมาทางแววตา ผิงรับรู้ได้ เพียงเท่านี้ ตนก็มีความกล้ามากพอที่จะเผชิญกับสิ่งใหม่แล้ว
ดวงตาที่มักจะมีแต่ความเรียบนิ่งปรากฏแววอ่อนโยนขึ้นเพียงครู่จากเด็กน้อย ก่อนมันจะหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมการเอ่ยพูดของผิง
“ขอบพระคุณขอรับ แต่ข้าเดินทางไปเองได้”
โม่หยวนฟางไม่ทันเห็นแววตาอ่อนโยนนั้น ใบหน้ารูปงามของแม่ทัพหนุ่มจึงหมองลงเล็กน้อย แต่ก็เพียงครู่ เมื่อต่อมาได้ฟังเหตุผลที่แฝงแววหยอกเย้าจากบุตรชาย
“ข้าไม่อยากถูกมองว่าเป็นลูกแหง่ขอรับ เพียงบิดามายืนรอข้าเช่นนี้ ข้าก็ดีใจมากแล้ว”
จบประโยคยาวที่นานๆครั้ง ผิงจะเอ่ยมาสักครั้ง ก็ปรากฏเส้นโค้งที่ริมฝีปากหนาของโม่หยวนฟาง ตามด้วยร่างใหญ่ที่รวบตัว ร่างเล็กกว่าเข้าไปกอดจนจมอก
ผิงตกใจ คิดไม่ถึงว่า จะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้
“เจ้านี่ น่ารักจริงๆ น่ารักจริงๆ อาผิงของข้า”
โม่หยวนฟางว่า พลางยกตัวผิงลอยจากพื้นหมุนไปรอบๆจนอีกคนรู้สึกเวียนหัว ครั้นจะร้องห้ามก็จนปัญหา สุดท้าย บิดาบุญธรรมก็มาส่งผิงอยู่ดี
‘แล้วเช่นนี้ จะถามด้วยเหตุใด’
ได้แต่ตั้งคำถามกับตนในใจ เพราะทราบว่า หากถามออกไป ก็คงได้รับคำตอนที่น่าปวดหัวยิ่ง
‘ตนมีบิดาที่อายุน้อย คงต้องทำใจใช่หรือไม่?’