บทที่ 5 ไม่อยากพบเจอ
“ใช่จ้ะ ลินขอโทษพวกแกด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรเอาไว้คราวหน้ามาใหม่ก็ได้จ้ะ” นาราบอกเพื่อนก่อนจะเดินนำไปขึ้นรถคันเล็กของเธอเพื่อพาเพื่อนๆไปที่บ้านก่อนจะพาไปเที่ยว
สี่วันที่มาเที่ยวเชียงใหม่พวกเธอสนุกสนานกันมากนาราพาเพื่อนๆไปเที่ยวในที่พวกเธอไม่เคยไปจนเกือบทั่วเชียงใหม่และพ่อแม่พี่สาวของนาราให้การต้อนรับเป็นอย่างอบอุ่นเหมือนทุกครั้ง
“อะหยังกั๋นนิละอ่อนหมู่นี้จะปิ้กบ้านกั๋นละก่ะ” พ่อเลี้ยงณรงค์ถามลูกสาวเพื่อนที่ท่านรักและเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานและมาเที่ยวบ้านท่านบ่อยๆบางทีท่านก็พูดเหนือบางทีก็พูดกลางเพราะเพื่อนของลูกสาวฟังภาษาเหนือเข้าใจกันทุกคนและยังพูดกันได้นิดหน่อย
“จ้าวป้อเลี้ยง ลินจะเริ่มงานวันที่หนึ่งที่จะถึงนี้ก็เลยกลับไปเตรียมตัวให้พร้อมค่ะ”
“ดีแล้วลูก ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรเราก็เตรียมพร้อมไว้ก่อนเป็นดีที่สุด ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็มาเยี่ยมพ่อกับแม่บ้างนะ” แม่เลี้ยงบอกเพื่อนลูกสาวที่มาทำให้บ้านท่านครึกครื้นได้สามสี่วันก็จะกลับกันแล้ว
“คราวหน้าวีวี่จะมาเที่ยวนานๆให้พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงเบื่อเลยจ้าว” วีระเดชพูดประจบพ่อเลี้ยงณรงค์
“มาเลยลูก บ้านพ่อเปิดต้อนรับพวกเราตลอดเวลาอยากมากันเมื่อไหร่ก็มาได้คิดเสียว่าเป็นบ้านอีกหลังของพวกเราทุกคนนะลูก” พ่อเลี้ยงณรงค์พูดอย่างอ่อนโยนผิดกับท่าทางของท่านที่ดูเหมือนจะดุแต่กลับกันท่านใจดีมาก
“ขอบคุณค่ะ / ขอบคุณค่ะ” ทั้งสามยกมือไหว้พ่อแม่ของเพื่อนส่วนพี่สาวของนาราได้ร่ำลากันตอนเช้าแล้วเพราะภัคพร วรบดีหรือพี่ตาลคนสวยใจดีต้องไปทำงาน
“งั้นพวกเรากลับก่อนนะคะ ลินขอขอบคุณพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงมากนะคะ สวัสดีค่ะ /สวัสดีค่ะ” บุลินบอกลาพ่อแม่ของเพื่อนและวีรเดชกับปียาดาก็ยกมือไหว้ตาม นาราก็ไปส่งเพื่อนๆที่สนามบินเชียงใหม่และร่ำลากันน้ำตาคลอ
“แล้วเจอกันที่กรุงเทพนะพวกแก” นาราบอกเพื่อนรักทั้งสาม
“จ้า ไปนะนารา บ้ายบ่าย” สี่สาวกอดกันแล้วเดินเข้าไปในเกทโบกมือให้กันอีกครั้งก่อนที่เพื่อนรักทั้งสามจะลับตาไปนาราก็กลับบ้าน
บุลินกลับมาจากเชียงใหม่ก็มาเตรียมตัวทำงานวันนี้เธอจึงมาซื้อเครื่องสำอางกับวีรเดชที่ห้างดังในหัวหินเพราะปกติเธอก็ไม่ค่อยได้แต่งหน้าแต่การทำงานหน้าที่พนักงานต้อนรับต้องมีหน้าเป็นอาวุธฉะนั้นต้องสวยตลอดเวลา
“ชะนีหนูลินแกน่าจะใช้ลิปสติกสีนี้นะ” วีรเดชยื่นเทสเตอร์ลิปสติกสีเชอร์รี่อ่อนให้เพื่อนลองเพราะคิดว่ามันเข้ากับผิวสีน้ำผึ้งของบุลิน
“แรงไปมั้ยอ่ะแก” บุลินแย้งปกติเธอจะใช้สีอ่อนจึงชูสีพีชในมือให้เพื่อนดู
“วางเลยยัยชะนีจืดมากแกเป็นพนักงานต้อนรับนะยะต้องแต่งหน้าให้มันสว่างสดใสจี้ดๆหน่อยสิหนุ่มๆจะได้สนใจ” วีรเดชพูดราวกับว่าเพื่อนัดเดททั้งที่ไปทำงาน
“แกจะบ้าเหรอวีวี่ ลินไปทำงานไม่ได้นัดเดทหนุ่มๆนะ ไม่เอาอ่ะ. บุลินส่ายหน้าปฏิเสธไม่เอาสีที่เพื่อนเลือกให้
“วีวี่อุตส่าเลือกให้นะ ไม่เอาก็ตามใจ” วี่วีคนสวยก็สะบัดหน้าหนีอย่างงอนๆ
“ก็ได้ เอามานี่เลย เอ่อ พี่คะมีลิปสติกสีไหนที่เหมาะกับลินบ้างคะ” บุลินหันไปถามพนักงานที่ยืนยิ้มมองเธอกับวีระเดชถกเถียงกัน
“ก็มีสีที่เพื่อนน้องเลือกให้ค่ะ ถ้าไม่ชอบสีแรงฉูดฉาดก็นี่ค่ะ สีชมพูพสเทล สีนู้ด สีส้มอ่อนค่ะ แต่ถ้าอยากได้สีที่แรงกว่านี้นิดหนี่งก็แถวนี้ค่ะ ลองเทสเตอร์ก่อนได้ค่ะ” เมื่อพนักงานตอบแล้วสองเพื่อนรักก็เถียงกันมุ้งมิ้งจนได้ของที่บุลินพอใจและวีรเดชก็พอใจมากที่เพื่อนยอมรับที่เขาเลือกให้
“หกพันสามร้อยห้าสิบบาทค่ะ” แคชเชียร์แจ้งราคาสินค้าทั้งหมดของบุลินที่มีเครื่องสำอางและอื่นๆส่วนประกอบการแต่งหน้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เธอขาดเพราะอาชีพของเธอจะต้องใช้หน้าตาและความสามารถพร้อมกัน
“นี่ค่ะ” บุลินยื่นบัตรเครดิตที่แม่ทิ้งไว้ให้ใช้เพราะเธอเอาเงินสดมาไม่พอปกติเธอจะเอาไว้ใช้ยามจำเป็นเช่นจ่ายค่าเทอมแต่ตอนนี้ของพวกนี้มันจำเป็นสำหรับเธอในการทำงานจึงต้องเอามาใช้ก่อน
“อ้าว นึกว่าใคร หนูลินนี่เองมาซื้ออะไรจ้ะ” ชมพูนุชแม่เลี้ยงของเธอที่พาลูกสาวมาช้อปปิ้งที่ห้างหรูที่หัวหินเห็นลูกเลี้ยงยืนหน้าเคาน์เตอร์เครื่องสำอางแบรนด์ดังอยู่ก็เลยเข้ามาหาเรื่อง เอ้ย เข้ามาทักทาย
“สวัสดีค่ะ มาซื้อของค่ะ” บุลินกรอกตาไปมาแล้วตอบแม่เลี้ยงก่อนจะหันไปมองวีรเดชอย่างรู้กันว่าวันนี้ได้ปะทะคารมกับแม่เลี้ยงของเธอแน่
“ชื้อเครื่องสำอางเหรอคะ ตายแล้ว..ใช้ของแพงซะด้วยมีเงินพอจ่ายหรือเปล่าจ้ะ น้าจ่ายให้ได้นะ” ชมพูนุชมองลูกเลี้ยงด้วยสายตาเหยียดหยามเพราะเธอเกลียดสองแม่ลูกที่ทำให้สามีของเธอไม่เคยลืมลูกและเมียเก่า เธอจึงหาเรื่องทุกครั้งที่เจอบุลินแต่มักจะถูกลูกเลี้ยงตอกหน้าทุกครั้งก็ยังไม่เข็ด
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันมีจ่ายไม่ต้องให้ใครมาจ่ายให้เก็บเงินของคุณไว้ให้ลูกสาวผลาญ เอ้ย ใช้เถอะค่ะ” บุลินย้อนแม่เลี้ยงที่เข้ามาพูดกวนอารมณ์ของเธอ
“ยัยหนูลิน..." ชมพูนุชกำลังจะว่าให้บุลินแต่พนักงานเดินมาก่อนจึงทำให้สาวใหญ่เงียบไป
"รบกวนเซ็นสลิปให้ด้วยค่ะ" พนักงานเดินเอาสลิปบัตรเครดิตมาให้บุลินเซ็นก่อนจึงทำให้ชมพูนุชหยุดพูด เมื่อพนักงานเดินไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์
"ฮึ มีบัตรเครดิตใช้ด้วยเหรอยะ อ้อ ลืมไปแม่มีสามีฝรั่งนี่ก้าวหน้าขึ้นเยอะนะ” ชมพุนุชยังไม่หยุดกระแนะกระแหนลูกเลี้ยงอย่างหมั่นไส้
“แล้วมันหนักส่วนไหนของคุณนายเหรอถึงได้มายุ่งเรื่องของหนูลินน่ะ” วีรเดชทนไม่ไหวจึงว่าให้แม่เลี้ยงของเพื่อนที่ชอบมาพูดก่อกวนทุกครั้งที่เจอกัน
“ไอ้เด็กบ้า แกๆๆ..” ชมพูนุชยืนชี้หน้าวีรเดชและบุลินที่รับถุงเครื่องสำอางมาจากพนักงานจะด่าก็ด่าไม่ออกเพราะสายตาของพนักงานมองเธออยู่
“ไปเถอะวีวี่ เสียเวลาซื้อของ” บุลินเดินไปได้สองก้าวเสียงของชมพูนุชก็ดังตามหลัง
“เก่งให้ตลอดละกันนะนังหนูลินแกอย่าได้ซมซานไปขอเงินสามีฉันล่ะ เพราะฉันจะไม่ให้แกสักแดงเดียว” ชมพูนุชคิดมาตลอดว่าสามีโอนเงินให้บุลินเธอเคยเห็นสลิปโอนเงินเข้าบัญชีของลูกเลี้ยงจึงเค้นถามสามีก็ยอมรับว่าโอนให้ลูกกับเมียเก่าและห้ามไม่ให้เธอยุ่งเพราะมันเป็นเงินของเขา
บุลินชะงักก่อนจะหันกลับไปมองแม่เลี้ยงตั้งแต่หัวจรดปลายเท้ามองขึ้นลงสองรอบจนชมพูนุชกำมือแน่นตัวสั่นเทิ้มเมื่อเห็นสายตาดูหมิ่นของลูกของเมียเก่าของสามีที่เธอแสนเกลียด
“ขอโทษนะคะ คุณชมพูนุชดิฉันไม่เคยไปขอเงินสามีของคุณแม้แต่สักแดงเดียว ที่ดิฉันมีกินมีใช้ทุกวันนี้ก็เพราะตายายแม่และพ่อเลี้ยง พวกท่านเลี้ยงฉันมาไม่เคยให้อดอยากต้องไปขอใคร ถึงแม้ฉันจะไม่มีกินก็ไม่ไปรบกวนสามีคุณแน่นอน ฝากไปบอกเขาด้วยนะคะ” บุลินพูดจบก็จับมือวีรเดชลากออกไปจากตรงนั้นขืนอยู่เธอได้มีเรื่องกับแม่เลี้ยงแน่
“อีเด็กบ้า ฉันจะคอยดู” ชมพูนุชพูดอย่างโมโหตามหลังบุลินที่ยิ่งโตก็ยิ่งสวยโดยไม่ต้องเสริมเติมแต่งไม่เหมือนลูกสาวของเธอที่อายุแค่สิบเก้าปีแต่เสริมทั้งจมูกเสริมคางทำนมตามเพื่อนเพราะอยากเป็นดาราและเธอก็ตามใจลูกสาวเพื่อให้เทียมหน้าเทียมตาในวงสังคมไฮโซ